รีวิว ฝึกงาน Content Writer 2025 ของเราที่ Hungry Hub จะเป็นเรื่องราวที่แตกต่างจากเด็กฝึกงานคนอื่นๆที่มาฝึกงานก่อนเรา เพราะงั้น วันนี้เราจึงขอเล่าเรื่องราวของเรา ผ่าน Blog บทความนี้ ว่าการฝึกงานเป็น Content Writer ที่บริษัท Hungry Hub ในปี 2025 ได้ประสบการณ์อะไร และ ต้องพบเจอกับอะไรบ้าง ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว ลองเข้ามาอ่านเรื่องราวของผมในบทความนี้ไปด้วยกัน
รีวิว ฝึกงาน Content Writer 2025
แนะนำตัวแบบสั้นๆ
สวัสดีครับ! เราชื่อ ภูมิ เป็นน้องฝึกงาน Content Writer คนล่าสุดในบริษัท Hungry Hub ครับ
อันที่จริงแล้ว ทุกคนคงเรียกเราว่า “น้อง” ไม่ได้แล้ว เพราะเราเรียนจบมาสักพักใหญ่แล้ว (แต่ก็เรียกเราว่า น้อง ได้นะ) ฮาๆๆ เราเรียนจบจากคณะมนุษยศาสตร์ สาขาภาษาเพื่ออาชีพ (หลักสูตรนานาชาติ) มหาวิทยาลัยศรีนครินรวิโรฒ ก่อนหน้านี้ เคยทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง และ รู้สึกว่างานที่ทำอยู่ มันไม่ใช่แนวทางของตัวเอง
ดังนั้น เราจึงออกจากงานเดิม และ เริ่มต้นออกเดินทาง ร่อนแรม หางานใหม่ พร้อมทั้ง มองหาโอกาสที่อยากจะเปลี่ยนสายงานให้กับตัวเองด้วย นับตั้งแต่ตอนนั้น เราก็มองหางานใหม่และสิ่งที่เราอยากทำ แต่ก็ยังไม่เคยลองทำอย่างจริงจัง นั่นก็คือ งาน Content Writer ประกอบกับคำแนะนำจากคนที่บ้าน และ ความต้องการส่วนตัวที่อยากลองไปเก็บประสบการณ์สายงาน Content Writer เพิ่มเติม ก่อนที่จะตัดสินใจต่อไปว่าเดินทางต่อในเส้นทางสายอาชีพนี้หรือไม่
จนสุดท้ายก็มา หยุดที่หน้าป้าย หน้าป้ายที่ชื่อว่า Hungry Hub
จุดเริ่มต้นใหม่ กับ Hungry Hub
ตอนแรก หากทุกคนเห็นชื่อ Hungry Hub ก็ยังไม่รู้จักว่ามันคืออะไร แต่ถ้าคุณดูคลิป Short ของร้าน Gentle Butcher หรือ คลิปรีวิวร้าน Copper Beyond Buffet บน YouTube เราเชื่อว่าหลายคนต้องร้องอ้อ อย่างแน่นอน ว่า Hungry Hub ก็คือ แอปจองที่นั่งในร้านอาหาร นั่นเอง
หลังจากนั้นเราก็ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Hungry Hub และ เห็นว่าทาง Hungry Hub ได้เปิดรับสมัครตำแหน่งฝึกงาน Content Writer อยู่เนืองๆ จากนั้น เราก็ส่งใบสมัคร พร้อมแนบ Resume และ ผลงาน Portfolio มาที่อีเมล [email protected] และ รอการติดต่อกลับ
เราขอแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับ Resume และ ผลงาน Portfolio ของตัวเองที่ส่งไปให้ Hungry Hub เล็กน้อย เรามีประวัติผลงานเขียนบ้างเล็กน้อย เพราะ เราเคยเขียนบทความออนไลน์ 1 เรื่องให้กับ The101.world และ เขียนบทสคริปต์ให้กับ YouTuber ชื่อดังคนหนึ่ง แม้ว่าเราจะพอมีผลงานเขียนอยู่บ้าง แต่เราก็แอบหวั่นใจอยู่เล็กน้อย เนื่องจากว่าเราไม่ได้เรียนจบมาตรงสาย หรือ เคยเรียนคณะนิเทศศาสตร์ หรือ สื่อสารมวลชนมาก่อน
แต่เราก็ลองส่งอีเมลสมัครดู ส่วนใครที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้ หรือ ผลงานเขียนใดๆมาก่อน แนะนำว่าลองยื่น Resume และ เขียนเหตุผลที่อยากลองมาฝึกงานส่งมาที่อีเมล Hungry Hub ดูก่อน แต่ถ้าใครยังไม่มั่นใจ ก็ลองอีเมล หรือ โทรศัพท์มาสอบถามก่อนก็ได้
หลังจากที่เรารอการติดต่อกลับประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผมก็ได้รับอีเมลติดต่อกลับจาก พี่เอิร์ธ (Earth) Content Marketing Manager ของ Hungry Hub ส่วนใครที่ยังไม่ได้อีเมลติดต่อกลับภายใน 1-2 สัปดาห์ ให้ลองติดต่อสอบถามกับทางพี่ๆ Hungry Hub เบื้องต้นก่อน เพราะ บางทีพี่ทุกคนอาจจะติดงานยุ่งมากๆ จนไม่มีเวลาเปิดอ่านอีเมลในช่วงนั้น
หลังจากนั้น พี่เอิร์ธก็สอบถามวันเริ่มต้นฝึกงานของเรา และ ให้ข้อมูลการเตรียมตัวเบื้องต้นก่อนช่วงฝึกงาน ทั้งการแต่งกายในวันแรก การเตรียมอุปกรณ์ทำงาน และ การเตรียมใจให้พร้อมก่อนเริ่มงาน และแล้ว จุดเริ่มต้นครั้งใหม่ของผม กับ Hungry Hub จึงได้เริ่มต้นขึ้น
สัปดาห์แรกที่ Hungry Hub
เมื่อเราเข้ามาฝึกงานวันแรกที่ Hungry Hub ด้วยชุดนักศึกษา แต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าไปในออฟฟิศ เพราะรู้สึกทำตัวไม่ถูก และ รู้สึกประหม่า แม้ว่าตัวเราจะมาถึงออฟฟิศตรงเวลาเข้างาน 10 โมงเช้าเป๊ะก็ตาม สุดท้าย พี่เอิร์ธก็โทรศัพท์มาบอกให้เดินเข้าไปนั่งรอด้านในออฟฟิศได้เลย เราจึงได้เข้าไปนั่งรอที่ด้านใน และ นั่งรออยู่สักพัก จนกระทั่งพี่เอิร์ธมาถึงออฟฟิศ แม้ว่าวันฝึกงานวันแรกจะเป็นวันที่ดูรู้สึกสับสนสำหรับอะไรหลายๆอย่างก็ตาม แต่พี่เขาก็เริ่มต้นสอนงานเราแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยความใจเย็น
พอถึงเวลาพักเที่ยงก็พาผมไปทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านชามกินได้ ด้วยกัน ซึ่งเป็นร้านของชาว Hungry Hub ที่ต้องแวะเวียนมากิน และ รสชาติก๋วยเตี๋ยวที่ร้านนี้ บอกเลยว่า รสชาติอร่อยมากๆ แถมก๋วยเตี๋ยวดูค่อนข้างน่ากินด้วย
หลังจากทานมื้อกลางวันเสร็จ พี่เขาก็ชวนไปซื้อของที่ร้านของเล่นที่อยู่ใกล้ๆกันต่อ เพื่อหาเรื่องผ่อนคลาย แม้ว่าเราจะไม่ได้ซื้ออะไรกลับไป ได้แต่เดินชมบรรยากาศร้านของเล่นสุดน่ารัก แต่ก็เป็นความประทับใจแรกที่สัมผัสได้ถึง ความเป็นกันเองของพี่หัวหน้างาน และ เปิดประสบการณ์โลกของเล่นเล็กๆให้กับเราได้รู้จัก แถมเป็นเรื่องอะไรที่น่ารัก และ แปลกใหม่ดีด้วย ถ้าใครชื่นชอบเรื่องของเล่น คงได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่เขาอย่างถูกคอ
ในช่วงสัปดาห์แรก พี่เขาจะอธิบายเรื่อง ประวัติความเป็นมา และ แพ็คเกจต่างๆของ Hungry Hub ให้เราได้รู้จัก และ สอนเรื่องการเขียนคอนเทนต์ จากนั้น พี่เขาจะบรีฟงาน และ มอบหมายให้เราทำงานทีละอย่าง หลังจากเวลาผ่านไป 2-3 สัปดาห์ พี่เขาจะมอบหมายเราเป็นผู้คิดค้นงานและสร้างสรรค์ผลงานด้วยตนเอง ถ้าใครมีปัญหา หรือ ข้อสงสัยตรงไหน ก็สามารถพูดคุยสอบถามกับพี่เขาได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องหยุมหัว
กิจวัตร หน้าที่ประจำวัน และ สิ่งท้าทาย
แน่นอน ! หน้าที่หลักในฐานะเป็น Content Writer คงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นั่นก็คือ การเขียนบทความ ลงบนเว็บไซต์ Hungry Hub Blog นั่นเอง ในทุกสัปดาห์ เราต้องคิดคอนเทนต์ และ เขียนบทความอย่างน้อย 2-3 บทความต่อสัปดาห์ เราสามารถเขียนบทความเรื่องอะไรก็ได้ แต่ขอให้เขียนโยงถึง Hungry Hub และ ต้องได้รับความเห็นชอบจากพี่หัวหน้างานก่อนเริ่มเขียน ต่อไปนี้ เราจะขอเล่ากิจวัตรและหน้าที่ของ Content Writer ใน 1 วัน ว่าต้องทำอะไรกันบ้าง
กิจวัตรหน้าที่ประจำวันของเรา เริ่มจาก การค้นข้อมูล หรือ Keyword ที่กำลังเป็นสนใจบนอินเตอร์เน็ต และ หาข้อมูลร้านอาหาร หรือ ที่พักในฐานข้อมูลของ Hungry Hub ว่าจะนำเรื่องอะไรมาเขียนเป็นบทความได้บ้าง จากนั้น เราก็ลงมือเขียนบทความ พอทุกคนอ่านมาถึงบรรทัดนี้เรา ดูเหมือนเนื้องานจะดูง่ายๆ ใช่ไหมครับ แต่ขอบอกเลยว่าไม่ง่ายครับ แถมเป็นอะไรที่ท้าทายพอสมควรเหมือนกัน
สิ่งท้าทายที่ต้องเจอตลอดในการทำงาน ก็คือ การทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้บทความที่เราเขียนไปปรากฏบนผลการค้นหาหน้าแรกของ Google เพราะ ก่อนที่เราจะลงมือเขียนบทความ เราต้องคำนึงว่า ชื่อบทความ (Title) และ การเลือกใช้ Keyword ของเราเหมาะกับ SEO หรือไม่ ถ้าเราทำ SEO ให้กับบทความของเราดีๆ ก็เพิ่มโอกาสให้คนเห็นบทความของเรามากขึ้นได้ ในช่วงแรก เราก็ไม่เคยรู้เรื่อง การทำ SEO เลย ทำให้เราต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยอยู่สักพัก ถึงจะเริ่มจับทางได้
ความท้าทายอีกสิ่ง คือ การบรีฟงานให้ทีมกราฟฟิก แม้ว่าเราจะเขียนบทความเสร็จแล้ว พร้อมรูปภาพประกอบ แต่หน้าที่เรายังไม่ได้จบเท่านี้ ยังต้อง บรีฟงาน ให้ทีมกราฟฟิก เพื่อให้เขาออกแบบรูปหน้าปกบทความ (Blog Cover) และ ทำให้บทความของเราเสร็จสมบูรณ์ แต่บางครั้ง ทีมกราฟฟิกก็ไม่สามารถออกกราฟฟิกให้ตรงกับความต้องการของเราได้ ทำให้เราต้องไปบรีฟงานใหม่ด้วยความใจเย็น พร้อมรับฟังปัญหา ข้อจำกัดทางเทคนิคของทีมกราฟฟิก และ ต้องอาศัยทักษะการสื่อสารเล็กน้อย พร้อมการวาดภาพตัวอย่างคร่าวๆ เพื่อให้ทีมกราฟฟิก ทำงานได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ เรายังเจอความท้าทายอื่นๆระหว่างการฝึกงาน อาทิเช่น ไอเดียหมด พอเราประสบปัญหาไอเดียหมด ไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรต่อ ทำให้การทำงานของเราต้องสะดุดหรือติดขัดไปบ้าง แต่หาทางแก้ได้ โดยละสายตาออกห่างจากหน้าจอคอมสักครู่ และ ทำอะไรอย่างอื่นให้สมองปลอดโปร่ง แล้วค่อยกลับมาลุยงานต่อ แต่เราก็เจอสิ่งที่ท้าทายอีกครั้ง เมื่อ Hungry Hub ประกาศการขยายธุรกิจไปยังประเทศสิงคโปร์ในงาน Red Table 2024 และเริ่มโฟกัสการสร้างคอนเทนต์ภาษาอังกฤษให้กับชาวสิงคโปร์ และ ชาวต่างชาติมากขึ้น ทำให้เราได้รับมอบหมายคอยช่วยคิดคอนเทนต์ภาษาอังกฤษควบคู่ไปด้วย
แม้ว่าการค้นข้อมูลแบบภาษาอังกฤษ และ นำมาเขียนบทความ จะเป็นสิ่งท้าทายมากๆ แต่เราก็ใช้ทักษะความพยายาม เครื่องมือ และ เทคโนโลยี AI บางส่วนมาช่วยค้นหาข้อมูล และ เรียบเรียงข้อมูล แล้วค่อยลงมือเขียนจนออกมาเป็นบทความที่ต้องการในท้ายที่สุด
บรรยากาศการทำงาน และ วัฒนธรรมองค์กร
บรรยากาศการทำงานที่นี้ มีความเป็นกันเองและความเป็นกันเองค่อนข้างสูง ทำให้ที่นี่ไม่ค่อยมีบรรยากาศการทำงานที่เต็มไปด้วย ความตึงเครียด หรือ Toxic ใครมีปัญหาอะไรอยากปรึกษา หรือ เรื่องอะไรที่อยากแชร์ ก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างสบายใจ แม้ว่าตัวเนื้องานที่เรารับผิดชอบอยู่ อาจให้ความรู้สึกตึงมือไปบ้าง แต่เราก็สามารถขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากพี่หัวหน้างาน และ เพื่อนร่วมงานได้
ส่วนเรื่อง เวลาเข้า-ออกงาน ที่นี่ คือ 10:00 น. – 19:00 น. และ 10:00 น. – 18:00 น. (เฉพาะเด็กฝึกงาน) แต่เอาเข้าให้จริงๆแล้ว เวลาเข้า-ออกงาน ที่นี่ ก็ค่อนข้างยืดหยุ่นพอสมควร เราสามารถเข้าออฟฟิศสายได้เล็กน้อย ประมาณ 10-15 นาที โดยไม่มีใครว่าอะไร แต่ การมาทำงานตรงต่อเวลา คือ สิ่งที่ดีที่สุด เพราะ เราต้องมารับบรีฟงานจากพวกพี่ๆ หรือ นัดหมายเพื่อออกเดินทางไปทำงานนอกออฟฟิศด้วยกัน ถ้ามาไม่ทัน อาจทำงานต่อไม่ติดได้
นอกจากนี้ ทุก 2 เดือน เรายังต้องเข้าร่วมการประชุม Town Hall ที่มีพี่ CEO เป็นผู้บรรยาย เพื่อให้ทราบถึงทิศทางการทำงาน (Direction) และ สถานการ์ปัจจุบันของบริษัท ถ้าใครฟังภาษาอังกฤษออกจะดีมาก เพราะ พี่ CEO จะพูดบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ
แต่ถ้าใครจำเป็นต้อง ลาป่วย หรือ ลากิจ ก็อย่าลืมบอกพี่ฝึกงานให้ทราบด้วยนะ เพราะ พวกพี่ๆ เขาจะได้วางแผนตารางได้ถูก
วัฒนธรรมองค์กรที่นี้ ค่อนข้างให้ความเป็นอิสระในการทำงาน และ เปิดกว้างพอสมควร ใครอยาก ดูหนัง ฟังเพลง ระหว่างทำงานไปด้วย ก็สามารถทำได้ (โปรดใส่หูฟัง) เพราะ ไม่มีใครมาบังคับ หรือ บงการเราระหว่างการทำงาน แต่ถ้าใครถามหางาน งานเราต้องเสร็จนะ ส่วนใครอยากลองเสนอไอเดียคอนเทนต์ใหม่ๆ ก็สามารถเสนอความเห็นกับพี่เขาได้
เรื่องเวลาพักกลางวันของที่นี่ ไม่เวลากำหนดตายตัว ใครอยากออกไปทานมื้อเที่ยงตอนเวลาไหน ก็ออกไปทานได้เลยตามสบาย หรือ จะชวนเพื่อนร่วมงานไปทานมื้อกลางวันด้วยกันได้ แถมยังเป็นช่วงเวลาอิสระที่ให้พวกเราไปสำรวจว่ามีร้านอาหารอะไรใหม่ๆในละแวกแถวนั้นบ้าง เพื่อให้มื้อเที่ยงของพวกเราไม่น่าเบื่อ
ส่วนใครอยาก เซอร์ไพส์วันเกิด จุดเทียน เป่าเค้ก กันกลางออฟฟิศ ก็สามารถทำได้ ขณะที่เรานั่งทำงานอยู่ดีๆ อาจมีสะดุ้งตกใจเสียงดัง เวลามีคนมาเซอร์ไพส์วันเกิดกันกลางออฟฟิศ แล้วเราก็ร่วมวงเฮฮากับพวกเขาเสียเลย ฮาๆๆ
ในบางเดือน บริษัทก็พาพวกเราทุกคนไป กินเลี้ยง พร้อมกันที่ร้านอาหาร หากอยากจะพูดถึงเรื่องความอร่อยของร้านอาหารที่พวกเราไปกินเลี้ยงกัน ถ้ามาพร้อมกับพี่น้องชาว Hungry Hub รับรองว่าทุกคนจะต้องไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะ ทุกร้านที่พวกเราไป บอกเลยว่ามันอร่อยสุดๆ แถมบรรยากาศการกินเลี้ยงก็เต็มไปด้วยความสนุกสนานเฮาฮา ล่าสุดเรามีโอกาสได้ไปกินเลี้ยงที่ NAMA Japanese and Seafood Buffet (คลิก) และ ได้ทานบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น กับ อาหารทะเลแบบจุใจ จนเราอิ่มแปล้ไปเลย
นี่เป็นภาพบรรยากาศส่วนหนึ่งในงานกินเลี้ยงที่ร้าน NAMA Japanese and Seafood Buffet
อาหารที่ร้านน่าทานมากเลย แถมตักกินได้ไม่อั้นอีกด้วย !
ออกกอง
หลายคนสงสัยว่า “ออกกอง” คืออะไร? ออกกอง คือ การออกไปตระเวนตามร้านอาหารต่างๆ เพื่อ ถ่ายรูป หรือ ถ่ายวีดิโอเพื่อโปรโมทร้านอาหารนั้นๆ เราจะมีการออกกอง และ ออกไปทำงานนอกออฟฟิศอยู่เป็นช่วงๆ ในฐานะเราเป็น Content Writer หน้าที่หลักๆของพวกเราคือ การสัมภาษณ์เชฟ หรือ เจ้าของร้าน เพื่อเก็บข้อมูลมาเขียนเป็นบทความรีวิวบนเว็บไซต์ บางครั้ง แถมพวกเราเราอาจได้กิน อาหารมื้อพิเศษ ฟรี ที่ทางร้านจัดเตรียมไว้ให้พวกเราอีกด้วย
เราขอแชร์ ประสบการณ์ออกกอง บางส่วนให้ทุกคนได้เห็นภาพว่าเป็นอย่างไร
มาเริ่มที่ร้าน GYU EN SIAM YAKINIKU (คลิก) ร้านอาหารร้านแรกที่เปิดประสบการณ์ให้เราได้สัมผัสรสชาติ เนื้อวากิว A5 แบบไม่อั้น อิ่มจนพุงกาง แถมเป็น ร้านอาหารร้านแรกที่เจ้าจองเป็นชาวต่างชาติ ทำให้เราต้องใช้เวลาสื่อสารและพูดคุยกับเจ้าของร้านอยู่นานพอสมควร กว่าจะเขียนเป็นบทความรีวิวออกมาได้
ไปต่อกันที่ร้าน นุ่มจัด Noomjad.bkk (คลิก) เป็นร้านอาหารแห่งที่ 2 ที่เรารู้สึกประทับใจมาก แม้ว่าเป็นเมนูอาหาร้านนี้จะดูเรียบง่าย แต่ก็นำเสนอเมนูออกมาได้อย่างน่าสนใจ ทั้งเมนูทงเทกิ (TONTEKI) ที่เนื้อสเต็กนุ่มละลายปาดสมกับชื่อร้าน และ เมนู Fish and Chip ที่มีรสสัมผัสกรอบนอกนุ่มในไม่เหมือนที่ไหน ทำให้เราอยากหาเวลามาทานซ้ำ
แต่ถ้าอยากไปร้านคาเฟ่บรรยากาศสุดน่ารัก พร้อมกับสัตว์เลี้ยงคู่ใจ ลองมาแวะที่คาเฟ่ Elder and Better (คลิก) ร้านคาเฟ่ที่บรรยากาศสุดน่ารักให้เหล่าคนรักสัตว์ ต้องมาเช็กอิน ถ้าเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาส ทางร้านจะตกแต่งร้านด้วยธีมคริสต์มาส ยิ่งทำให้บรรยากาศร้านดูน่ารักขึ้นไปอีก แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้พาน้องหมาเรามาด้วย
ร้าน 28 Ventotto (คลิก) เป็นร้านอาหารที่เรารู้สึกประทับใจที่สุด โดยเฉพาะ ที่นั่งท่ามกลางสวนย่อมสไตล์อิตาลี และ รสชาติอาหารสไตล์โฮมเมดที่ปรุงอย่างพิถีพิถัน เสมือนได้กลับไปนั่งทานอาหารพร้อมหน้ากับครอบครัว และ ชวนให้นึกถึงบรรยากาศวันเก่าๆในบ้านหลังสวน แถมที่นั่งภายในร้านตกแต่งแบบสไตล์ย้อนยุค 70s เสมือนนั่งอยู่ในคาเฟ่ยุค 70s ก็ไม่ผิดนัก ร้านอาหารแห่งนี้ ถือว่าเหมาะสำหรับครอบครัวอย่างแท้จริง หลังจากที่ผมเคยเขียนรีวิวให้กับร้านแห่งนี้ ผมก็ได้มีโอกาสกลับไปทานอาหารที่นั้นอีกครั้ง พร้อมกับครอบครัว
ทว่าการออกกองแต่ละครั้ง ก็ทำให้ผมได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ และ ค้นพบร้านอาหารที่แปลกใหม่ที่เราไม่เคยรู้จัก แต่คงไม่ร้านอาหารไหนแปลกใหม่เท่า ร้าน Kuma No Yakitori (คลิก) ร้านลับ Omakase ณ สุขุมวิท 47 ร้านอาหารแห่งนี้ไม่ได้โดดเด่นเพียง เมนูยากิโทริ (Yakitori) รสเลิศ แต่ยังขึ้นชื่อเรื่องความลับสุด Exclusive เพราะ การจะมาทานโอมากาเสะที่ร้านแห่งนี้ได้ ต้องได้รับรหัสเปิดประตู ผ่านการจองล่วงหน้าท่านั้น ถึงจะสามารถเข้ามาทานอาหารที่ร้านแห่งนี้ได้ ถือเป็นประสบการณ์ร้านโอมากาเสะครั้งแรกของเราเลย
ปิดท้ายด้วย ร้าน JUBANG 주방 (คลิก) ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียมสุดพรีเมียม ใกล้ MRT บางขุนนนท์ โดดเด่นเรื่องการเสิร์ฟวัตถุดิบที่ความสดใหม่แบบวันต่อวัน ด้วยความเอาใจใส่ และ เนื้อ Water-Aging แถมบรรยากาศร้านก็ชวนดูผ่อนคลาย เป็นร้านที่เหมาะสำหรับชวนเพื่อนมาทานอาหารเพื่อรำลึกความหลังด้วยกัน แล้วทั้งหมดนี้ คือ ประสบการณ์ออกอง ของเรา
นอกจากนี้ เราอาจได้รับหน้าที่เสริมแบบไม่รู้ตัวจาก พี่เจมส์ (James) ช่างภาพ ให้คอยเป็นผู้ช่วยถือส่องไฟ และ เก็บสายปลั๊กพ่วงหลังจบงาน ถ้าในวันนั้น ผู้ช่วยของพี่เขาไม่ได้มาทำงาน บางทีพี่เขาก็อาจแหย่เล่นหรือชวนเล่นมุกตลกกับน้องฝึกงานเป็นบางครั้ง เข้าใจแหละ ว่า พี่เขาเหงาและอยากหาเพื่อนคุย ฮาๆๆๆ ^ ^
ว่าแต่ทำไม่รูปนี้ รู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นจากโปสเตอร์หนังเรื่องหนึ่ง (ไม่ใช่ล่ะ ! สงสัยเราคิดไปเอง…)
สิ่งที่ได้จาก Hungry Hub
นับตั้งแต่วันแรก นอกจาก เราได้เรียนรู้ทักษะต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ Content Writer ทั้ง ทักษะการเขียนคอนเทนต์, การสัมภาษณ์บุคคล, การเล่าเรื่อง, การทำ SEO, WordPress, Google Trend, Google Keyword Planner และ อื่นๆ รวมทั้งเรียนรู้การประยุกต์ใช้ AI สำหรับการทำงาน เรายังได้เปิดประสบการณ์โลกแห่งวงการอาหารอีกด้วย และ ออกไปสัมผัสกับผู้คนที่ทำงานอยู่ในร้านอาหารจริงๆ
ที่สำคัญ เราได้มีโอกาสทดลองทำสิ่งใหม่ๆให้กับผลงานของตัวเอง และ สร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบของตนเองอีกด้วย ทุกครั้งที่เราลงผลงานบนเว็บไซต์ และ มีคนเข้ามาอ่านเยอะๆ ก็รู้สึกชื่นใจ โดยเฉพาะ บทความรีวิวร้านอาหาร หลังจากที่เราลงบทความลงบนเว็บไซต์ไปแล้ว คนเข้ามาอ่านบทความ และ ไปทานที่ร้านอาหารที่พวกเรารีวิว พร้อมเขียนคำชมบน Google Review ให้ร้านอาหารเหล่านั้น มันเป็นความรู้สึกที่แอบดีใจอยู่ไม่น้อย
แล้วทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ ฝึกงาน Content Writer 2025 ที่ Hungry Hub สุดท้ายนี้ เราของฝากผลงานทั้งหมด ทั้งเวอร์ชั่นภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ บนเว็บไซต์ Hungry Hub Blog ไว้ในใจของทุกคนด้วยนะ อย่าลืมเข้าไปอ่านกันเยอะๆนะ
- บทความภาษาไทยทั้งหมด (คลิก)
- บทความภาษาอังกฤษทั้งหมด (คลิก)
สิ่งที่อยากจะบอกกับทุกคน
แด่ทุกคนใน Hungry Hub
ขอบคุณพี่ๆชาว Hungry Hub ที่ใจดี เป็นมิตร และคอยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กับน้องฝึกงานเช่น ผม ตลอดช่วงการฝึกงาน ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของทีม มันหายากนะ ที่จะเจอทีมแบบนี้ อีกบุคคลหนึ่งผมอยากขอบคุณเป็นพิเศษ นั่นก็คือ พี่เอิร์ธ ที่คอยสอนงานต่างๆให้ผมด้วยความใจเย็นมาโดยตลอด และ พร้อมรับฟังความเห็นผมอยู่เสมอ แม้ว่าบางครั้งผมอาจทำผิดพลาดไปบ้างโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ได้คำแนะนำจากพี่และปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น สำหรับผมแล้วพี่เป็นหัวหน้างานที่น่าเคารพรักที่สุดอีกคนหนึ่งที่ผมเคยเจอมา สุดท้ายนี้ ผมอยากขอบคุณทุกคนที่มอบโอกาสให้ผมได้เข้าฝึกงานที่ Hungry Hub แห่งนี้ และ หวังว่าจะมีโอกาสได้พบทุกคนอีกในวาระโอกาสอื่นๆต่อไป
แด่เพื่อนร่วมงาน (เหล่าผองเพื่อนฝึกงานทั้งหลาย)
ถึงเพื่อนฝึกงานคนแรก บอม (กราฟฟิก) ขอบคุณที่คอยช่วยทำกราฟฟิกให้กับเราในช่วงแรก และ ทำให้งานของเราผ่านไปได้อย่างราบรื่น แต่น่าเสียดายช่วงเวลาฝึกงานของนายใกล้จบแล้ว ตอนที่เราเพิ่งเข้ามาฝึกงานได้ไม่นาน ทำให้พวกเราไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ยังไงก็อย่าลืมมาทักทาย IG กันบ้างนะเออ ^ ^
เพื่อนฝึกงานคนถัดมา พีช (กราฟฟิก) แม้ว่าพวกเราอาจร่วมงานไม่ค่อยเข้าขากันเท่าไหร่ในช่วงแรก และ ต้องปรับการทำงานให้เข้าหากันอยู่สักพัก แถมต้องแก้งานกันหลายรอบ แต่ก็ขอบคุณนะที่พวกเราช่วยกันประคับประคองให้งานทุกอย่างออกมาได้ด้วยดี หวังว่านายคงจะได้งานเยอะขึ้น เอ๊ย! งานที่ท้าทายมากขึ้น และ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆจากงานของตัวเอง ฮาๆๆๆ ใครอยากช่วยพีชแสดงฝีมืองานกราฟฟิกเจ๋งๆ ลองมอบหมายงานให้พีชได้เลย
อีกคนที่ขาดไม่ได้ คือ นวม (Content Creator) เพื่อนฝึกงานสาวมาพร้อมกับลุคแฟชั่นที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และ ผู้ที่ออกกองบ่อยยิ่งกว่า Content Writer แถมเป็นคนเฮฮา อารมณ์ดี และ คุยง่ายอีกด้วย แม้ว่าตอนที่เรากำลังทำงานอยู่ จนลืมเวลาทานมื้อเที่ยง แต่เธอก็ยังไม่ลืมชวนเรากับคนอื่นๆ ไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
ส่วนเพื่อนๆฝึกงานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ทั้ง มี่ (Operation) โอ๊ต (Video Editor) ครีม (Video Editor) กิ๊ฟ (Video Editor) และ ตัง (ช่างภาพ) แม้ว่าพวกเราจะไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกันบ่อยๆ และ ออกไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันบ้าง แต่ยังไงก็ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการฝึกงานที่นี้นะ
ถึงเพื่อนฝึกงานชาวเนเธอร์แลนด์ Jorhn (KOL Specialist) กับ Jesber (KOL Specialist) เราสนุกมากๆที่ได้คุยกับพวกนายทุกครั้ง และ ชวนไปทานมื้อที่ยงตอนบ่ายโมงเป็นประจำ ถึงแม้ว่าช่วงนี้ พวกเราต่างคนต่างติดงานยุ่ง จนไม่มีเวลาได้พูดคุยกัน แต่ยังหาโอกาสมาพูดคุยกันจนได้ในเวลาว่างเสมอ หวังว่าคงได้มีโอกาสเจอพวกนายสองคนอีกครั้งที่ประเทศเนเธอร์แลนด์
สุดท้ายนี้ เราขอให้ทุกคนมีความสุขกับการฝึกงาน และ เจองานที่ใช่ ตลอดจน ค้นพบเส้นทางชีวิตของตัวเอง และ ประสบความสำเร็จในทุกๆเรื่อง ถึงแม้ว่า พวกเราทุกคนจะแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง หลังจบฝึกงานแล้ว ก็อย่าลืม แวะมาทักทาย หรือ ส่งข้อความมาหากันบ้างนะ
สิ่งที่อยากฝากบอกกับ Content Writer (คนถัดไป)
ถึง Content Writer (คนถัดไป) ไม่ว่านายจะเข้ามาฝึกงานที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร นายควร ลองเปิดใจ ให้กับตัวเองสำหรับอะไรหลายๆเรื่อง แม้ว่านายอาจจะสับสน หรือ ไม่เข้าใจอะไรในหลายๆเรื่อง แต่ขอให้นายค่อยๆเรียนรู้ และ ลองทำมันดู บางทีนายอาจได้ค้นพบคำตอบ หรือ เส้นทางที่ใช่สำหรับตัวเองก็ได้ จงลองเปิดใจ และ ลองทำมาดูสักตั้ง สุดท้ายนี้ เราขอฝากนายคอยช่วยเหลืองานพี่เอิร์ธหลังจากนี้ต่อด้วยล่ะ ฝากพวกนายด้วยนะ
หลังจากนี้ จะไปไหนต่อ
และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึง วันที่เราต้องแยกย้ายจาก Hungry Hub ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้และลงมือทำอะไรหลายๆอย่างจากที่นี่ รวมทั้งได้เห็นรูปแบบเทรนการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป แต่มันถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องออกเดินทางใหม่อีกครั้ง จากก่อนหน้านี้ เส้นทางของเราจะดูเลือนลาง แต่แล้วเส้นทางนั้นมันค่อยๆปรากฏให้เห็นชัดชึ้น ว่าจะทำอะไรต่อ เราจะมองหางาน Content Writer หรือ สายงานอื่นๆที่ใกล้เคียงกัน และ ทำงานต่อไปหลังจากนี้ แม้ว่าหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล แต่เราจะออกเดินทางต่อไปเพื่อทำในสิ่งที่ใช่สำหรับเรา และเราขอภาวนาให้ทุกคนเจอเส้นทางที่ใช่สำหรับตัวเองด้วยเช่นกัน
ส่วนใครที่อยากติดต่อเรื่องงานเรา หรือ อยากสอบถามเรื่อง Hungry Hub สามารถเขียนอีเมลมาหาเราได้ที่ [email protected] ได้เลย สุดท้ายนี้ เราต้องขอตัวลาทุกคนไปก่อน และ เจอกันใหม่ในโอกาสถัดไป
สามารถดูคลิปวีดิโอ Tik Tok ของเราได้ (คลิกที่นี่)
สวัสดีครับ ! (^w^)
ลาก่อน Hungry Hub
“You’ve got a long way to go……such a lot to learn”
มหาลัยเหมืองแร่ (The Tin Mine)
สามารถติดตามโปรโมชั่น ที่ไม่ควรพลาดได้ที่ Facebook : Hungry Hub แอปจองมื้อพิเศษอันดับ 1 ของไทย
อ่านบทความอื่นๆที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่นี่
- รีวิวฝึกงาน Content Writer ฉบับเด็กอีสานแบกเป้ มาหาประสบการณ์ ที่ Hungry Hub
- รีวิวฝึกงาน Graphic Designer ที่ Hungry Hub ด้วยความรู้สึกของวันสุดท้าย
- ฝึกงาน Content Writer ที่ Hungry Hub เปิดประสบการณ์ใหม่ แบบเต็มสิบไม่หัก!
- รีวิวฝึกงาน Content Writer ที่ Hungry Hub ทำงานที่ใช่ ในสไตล์ที่ชอบ
- รีวิวฝึกงาน Video Editor ที่ Hungry Hub ได้ประสบการณ์ทำงานจริง แถมด้วยน้ำหนัก 4 กิโล
