ใครที่อยากสัมผัสกับร้านอาหารแนว Fine Dining ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความรักโลก วันนี้จะมาไปรู้จักกับ Haoma ร้านอาหารอินเดียที่มาพร้อมกับแนวคิด Zero waste และได้รางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาวเป็นปีที่ 2 รวมไปถึงรางวัล MICHELIN Green Star จากการประกาศรางวัลเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จะมีจัดเด่นอะไรที่น่าสนใจกันบ้างมาติดตามกันได้เลย
Haoma ร้านอาหาร Fine Dining ดีกรีมิชลินสตาร์ 1 ดาว
Haoma (ฮา-โอ-มา) ร้านอาหารอินเดีย Fine Dining ที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 31 ซึ่งคำว่า ฮาโอมา มีความหมายว่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ตามตำนานความเชื่อของคนอิหร่านและชาวเปอร์เชีย โดยถือว่าเป็นต้นไม้ที่เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งและหยั่งรากลึกเพื่อเป็นแหล่งสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่โลกนี้
คอนเซปต์ที่เป็นจุดเด่นของร้าน Haoma คือตั้งใจที่จะเป็นร้านอาหารที่ต้องการจะเน้นความยั่งยืนของธรรมชาติแบบ Zero waste เริ่มต้นด้วยการนำของเหลือมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์โดยใช้ฟาร์มแบบออร์แกนิค การทำรากตะไคร้ที่เหลือทิ้งจากการทำอาหารครั้งก่อนมาปลูกใหม่ การนำเศษอาหารที่เหลือจากการทานมาทำเป็นอาหารปลา ไว้เลี้ยงปลาในร้านโดยเฉพาะ หรือทำปุ๋ยหมักเป็นต้น
ในส่วนของบรรยากาศภายนอกตั้งแต่ทางเข้าจะเห็นสัญลักษณ์ของร้านเป็นสีทองสะดุดตา ไม่ว่าใครเห็นจะต้องหยิบมือถือหรือกล้องขึ้นมาถ่าย และที่สำคัญมีการจัดโต๊ะในหลายรูปแบบให้เลือกได้กัน ไม่ว่าจะเป็นโทนขาวดำ หรือมีสีสันก็มีทั้งคู่ ?? ภายในร้านตกแต่งแนว Industrial Loft คุมโทนด้วยชุดโต๊ะเก้าอี้สีไม้ เพิ่มความสดชื่นด้วยสวนแนวตั้งภายในร้าน นอกจากนี้ก็ยังเห็นแปลกผักที่ทางร้านปลูกเองด้วยนะ
ในด้านของอาหารภายในร้าน Haoma ก็ได้นำทีมความอร่อยโดยเชฟ DK หรือ Deepanker Khosla เชฟชาวอินเดียผู้มากความสามารถและมีความหลงไหลในธรรมชาติ โดยก็ได้รังสรรค์เมนูอาหารต่างๆ จากวัตถุดิบที่ปลูกและเลี้ยงขึ้นมาเองแบบออร์แกนิค จึงในแต่ละเมนูจึงอัดแน่นไปด้วยความอร่อย อีกยังยังปลอดสารพิษอีกด้วยนั้นเอง
คราวนี้เรามาเริ่มลิ้มลองกันที่จานแรกกับ Murg Malal Kebab เป็นเมนูที่เรียกว่าเก๋มาก ๆ ด้วยการเสิร์ฟมาบนเตา ทำให้เครื่องเทศที่หมักมาหอมขึ้นแบบสุด ๆ ถึงจะเสิร์ฟมาบนเตาแต่เนื้อไก่ไม่แห้งนะจ้ะ เจ๋งใช่ไหมล่ะ ถัดมา Chicken Awadhi Biryami ที่เสิร์ฟมาในหม้อดินเพื่อให้ยังคงความหอม และเป็นออริจินัลแบบแท้จริง ตัวข้าวหอมทั้งเครื่องเทศและ Herbs ต่าง ๆ ที่ใส่มา ทำให้เวลาทานแล้วรู้สึกอยากทานต่อเรื่อย ๆ
Chicken Tikka Masala เมนูยอดฮิตสำหรับคนที่ชื่นชอบอาหารอินเดียไม่ควรพลาด ด้วยความโดดเด่นของตัวเครื่องเทศ และรสชาติที่เชฟทำให้เมนูนี้เข้าไปอยู่ในใจใครหลาย ๆ คนที่ได้ทานอย่างไม่มีที่ติ
ลบภาพเดิม ๆ จากเคบับที่เคยเห็นด้วยเมนู Deconstructed Galauli Kebab Tarts เคบับที่หน้าตาเหมือนทาร์ต ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ รสชาติก็บอกได้เลยว่า ทำออกมาได้ดีมาก ตัวแป้งกำลังดีไม่หนาหรือบางเกินไป กัดเข้าไปแล้วได้เนื้อสัมผัสกรุบ ๆ ของถั่วลูกไก่
Nilgiri Chicken เป็นเมนูที่สะดุดตาที่สุด ด้วยสีสันที่แปลกตา เป็นแกงที่มีความเข้มข้นมาก เนื้อเนียนละเอียด มีรสชาติเผ็ดนิด ๆ ตัวเนื้อไก่ทำออกมาได้สุกพอดี เป็นอีกหนึ่งเมนูที่หอมเครื่องเทศสุด ๆ
Paneer Tikka เป็นคอทเทจชีสสดที่มีรสเค็มเล็ก ๆ ตัวเนื้อสัมผัสนุ่ม ๆ ทานคู่กับตัวซอสคือไปด้วยกันได้ดีมาก ๆ
และสำหรับอาหารทะเล ก็มีนะอย่างเมนู Madras Curry Seafood เมนูที่ต้องบอกเลยว่าไม่ควรพลาด แกงกะหรี่ที่เนื้อเนียนละเอียดเหมือนทานซุป รสชาตินุ่มนวล เบา และกลิ่นไม่แรงเกินไป ตัว Foam จะมีรสชาติเปรี้ยวมาช่วยตัดรสได้ดี กุ้งสด เด้ง หวาน ทานรวมกันคือกลมกล่อม เป็นแกงกะหรี่แนวใหม่ที่ควรค่าแก่การลองเลยล่ะ
ของคาวแล้วของหวานก็ต้องมาด้วย ! เริ่มด้วยขนมที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับอาหารอินเดียคือ Gulab Jamun เนื้อแป้งฉ่ำ ๆ รสชาติค่อนข้างหวาน เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมรสนม แนะนําให้ทานคู่กัน เป็น Combination ที่ลงตัวมาก เพราะไอศกรีมนมจะเป็นส่วนที่ทำให้ตัวแป้งรสชาติพอดี ไม่หวานเกินไป ละมุนขึ้น
Chocolate Caramel and Gold Pudding ของหวานมาในกล่องสีทองสุดหรู มีการออนท็อปด้วยทองคำเปลว ตัวช็อกโกแลตคาราเมลมีเนื้อสัมผัสเบา ๆ เหมือนกับวิปปิ้งครีม ตัวพุดดิ้งก็ทำออกมาได้ดี เนื้อละเอียด นุ่ม ๆ ไม่ว่าจะทานแยกหรือทานคู่กันก็พูดได้เลยว่าฟินสุด ๆ
ในส่วนของเครื่องดื่มเริ่มด้วย Madame Coco บอกเลยว่าครั้งแรกที่อ่านคิดว่าต้องเป็นโกโก้รสเข้ม ๆ แน่ ๆ แต่ผิดเพราะเบสมาจากน้ำมะพร้าว แต่รสชาติเหมือนดื่มน้ำมะนาว บอกได้เลยว่า Surprised มาก ๆ และที่สำคัญทำให้แก้เลี่ยนได้ดีสุด ๆ
และแก้วสุดท้ายสำหรับมื้อนี้คือ Tepache เป็นเครื่องดื่มที่หมักมาจากเปลือกสับปะรด ถ้าใครจินตนาการรสชาติไม่ออก รสชาติจะคล้าย ๆ เบียร์ แต่เบากว่าและไม่มี Alcohol นะ กิมมิคเด่นของแก้วนี้คือบริเวณปากแก้ว จะมีเกล็ดของวัตถุดิบลับที่มีรสชาติเผ็ดนิด ๆ (ถ้าอยากรู้ว่าคืออะไร ต้องสั่งนะ!) มีความเก๋ ถ่ายรูปสวยมาก ๆ
โดยรวมแล้ว Haoma ถือว่าเป็นอีกหนึ่งร้านอินเดียและไฟน์ไดนิ่งที่น่าจะไปลองสักครั้งในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคอนเซ็ปต์หรือรสชาติอาหาร ที่ทำออกมาให้ทานง่ายและพรีเซ้นท์ตัวเมนูออกมาได้แปลกใหม่ ฉีกภาพอาหารอินเดียแบบเดิมๆ ที่เราเคยรู้จัก ทำให้รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่อาหารมาเสิร์ฟ แถมบรรยากาศก็ผ่อนคลายสุด ๆ ด้วยความลงตัวขนาดนี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้รางวัล มิชลินสตาร์ 1 ดาวเป็นปีที่ 2 รวมไปถึงรางวัล MICHELIN Green Star มาครอบครองในปี 2024
ส่วนใครที่อยากลิ้มลองความอร่อยกับ Haoma ตอนนี้ก็ได้กลับมาอีกครั้งกับแพ้กเกจสุดพิเศษจาก Hungry Hub ในรูปแบบของ Indian Experience เอาใจทั้งคนทานเนื้อสัตว์กับคนที่ชอบทานมังสวิรัติ ในราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 2,340 บาท/ท่าน บอกได้เลยว่าคนรักการทานอาหารอินเดียและ Fine Dining ไม่ควรพลาดเลย
สามารถอ่านบทความอื่นที่น่าสนใจไม่แพ้กันได้อีกเพียบ!
- เผยรายชื่อร้านอาหารใหม่ มิชลิน ไกด์ 2567 ร้านเด็ดติดดาว พร้อมก้าวสู่ความเป็นเลิศ
- 20 ร้านอาหาร Fine dining กรุงเทพ 2024 คุณภาพพรีเมี่ยม เหมาะกับทุกมื้อพิเศษ
- Fine Dining คือ อะไร? ประเภทอาหารยอดฮิต ที่คนชิคๆ เขากินกัน
- 8 ร้านอาหารอินเดีย กรุงเทพ รสจัดจ้าน ที่ต้องไปลองชิม! 2023