กินคาวแล้วก็ต้องกินหวาน ไม่งั้นสันดานไพร่ ทุกคนก็ต้องเคยได้ยินประโยคนี้กันอยู่แล้ว เลยทำให้ทุกวันนี้เรากินหวานจนกลายเป็นติดของหวาน เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาแจก เทคนิคกินของหวาน กินยังไงไม่ให้รู้สึกผิด? พร้อมกับแจกเมนูของหวานที่แคลน้อย กินแล้วเบิร์นนิดเดียวก็สบายใจ ไม่ต้องรู้สึกผิดกับร่างกายมาก
เทคนิคกินของหวาน กินยังไงไม่ให้รู้สึกผิด?
กินในปริมาณที่พอดี ถ้าเหลือก็ต้องไม่เสียดาย
ถึงจะชอบกินของหวานมากแค่ไหนแต่เราก็ต้องห้ามใจตัวเอง กินในปริมาณที่พอดี กินให้หายอยากก็พอ ไม่ต้องกินเอาอิ่ม เช่น ซื้อเค้กมาชิ้นหนึ่งก็กินแค่ 2-3 คำก็พอ แล้วเก็บไว้กินครั้งต่อไป ไม่ต้องเสียดาย หรือกินแค่ตามที่ปริมาณน้ำตาลของร่างกายต้องการ โดยที่ปริมาณน้ำตาลของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ และปัจจัยอื่นๆ แต่ถ้าจะแบ่งให้จำง่ายๆก็แบ่งตามช่วงวัยก็ได้
โดยที่เด็กและผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป ไม่ควรกินของที่มีปริมาณน้ำตาลต่อวันเกิน 4 ช้อนชา หรือ 16 กรัม ส่วนวัยรุ่น วัยทำงาน ไม่ควรกินของที่มีปริมาณน้ำตาลต่อวัน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม
กินของหวานแบบ 0% หรือ Low-Fat หรือขนมคลีน
ลดของหวานมันยากงั้นก็ลดความหวานเอาละกัน ส่วนผสมต่างๆในของหวานให้เลือกเป็น Low-Fat หรือ วัตถุดิบที่เป็นไขมันต่ำ เช่น การใช้นม Low-Fat หรือ นมอัลมอนด์ แทนนมวัว ซึ่งหากเป็นเมนูเครื่องดื่มก็สั่งเป็นหวานน้อยแทนหวานร้อย อย่างกาแฟก็ดื่มเป็นกาแฟดำไปเลย หรือในตอนนี้เทรนด์รักสุขภาพกำลังมาทำให้ร้านของหวานก็หันมาทำเป็นของหวานคลีน ที่ใช้วัตถุดิบคลีน เช่น ข้าวโอ๊ตแทนแป้ง ใช้ผลไม้ให้ความหวานแทนน้ำตาล ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยให้กินของหวานแบบไม่ต้องรู้สึกผิดมาก
คำนวณแคลอรี
ร่างกายแต่ละคนจะมีจำนวนแคลอรีที่ต้องการต่อวันต่างกัน ซึ่งส่วนมากการคำนวณแคลอรีก็จะคำนวณตามอาหารแต่ละจานที่กินต่อวันที่เรียกว่า Basal Metabolic Rate (BMR) โดยจะแบ่งคำนวณตามเพศ ดังนี้
BMR สำหรับผู้ชาย = 66 + (13.7 X น้ำหนักตัวปัจจุบันเป็นกิโลกรัม) + (5 x ส่วนสูงปัจจุบันเป็นเซนติเมตร) – (6.8 x อายุปัจจุบัน)
BMR สำหรับผู้หญิง = 665 + (9.6 x น้ำหนักตัวปัจจุบันเป็นกิโลกรัม) + (1.8 x ส่วนสูงปัจจุบันเป็นเซนติเมตร) – (4.7 x อายุปัจจุบัน)
ออกกำลังกาย
การคำนวณแคลอรีต่อวันหรือการคุมอาหารอย่างเดียวก็ไม่ใช่เทคนิคการกินที่ถูกต้องที่สุด เพราะมันก็ต้องทำควบคู่กันไปกับการออกกำลังกาย กินเข้าไปแล้วก็ต้องเผาผลาญออกด้วย ซึ่งระบบเผาผลาญของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน โดยที่รูปแบบการออกกำลังกายที่ออกแล้วจะได้ผลก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน มีทั้งการคาร์ดิโอ การออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามเนื้อ
โดยน้ำตาลนั้นสามารถเบิร์นออกไปได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ระยะเวลาเท่านี้เป็นการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายได้อย่างดีที่สุด
ดื่มชาเขียวร้อน
หลังจากการที่กินของหวานแล้ว ก็ให้จิบชาเขียวร้อน เพราะชาเขียวร้อนมีสรรพคุณที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน ลดคอเลสเตอรอลและชาเขียวยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มความไวของอินซูลินและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ว่าการดื่มชาก็ควรดื่มในปริมาณที่พอดีเพราะถ้าดื่มมากเกินไปก็เกิดเป็นผลเสียได้ เพราะในชาก็มีคาเฟอีน ซึ่งหากร่างกายได้รับในปริมาณที่มากเกินก็จะทำให้ หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ คลื่นไส้ และท้องเสียได้
กินให้ถูกเวลา หรือ มีขอบเขตจำกัดการกิน
เทคนิคการกินให้ถูกเวลานั้นก็ช่วยให้กินได้อย่างสบายใจโดยที่เราอาจจะกำหนดวันที่กินได้และกินไม่ได้ อาจจะกินของหวานวันเว้นวัน หรือสองวันครั้ง หรืออาจจะกำหนดวันที่กินได้ของแต่ละอาทิตย์ไว้เลย หรือการกินตามช่วงเวลา เช่น การเลี่ยงการกินของหวานในตอนเย็นหรือกลางคืน เพราะ ร่างกายต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงในการย่อยและหากว่าเรากินมื้อดึกติดต่อกันบ่อยๆ ยิ่งทำให้ร่างกายต้องผลิต “อินซูลิน” ในปริมาณที่มากขึ้นตามไปด้วย เพื่อนำมาใช้เผาผลาญคาร์โบไฮเดรต และไขมันจากอาหารที่เรากินเข้าไป อินซูลิน จึงเปลี่ยนอาหารทั้งหมดให้กลายเป็นพลังงาน และไขมันสะสมในร่างกาย ทำให้กระทบต่อระบบอื่นๆของร่างกาย
วันถัดไปให้ลดแป้งกับน้ำตาลลง
ถ้าทำมาทุกเทคนิคแล้ว ก็เหลือเทคนิคนี้คือถ้าวันไหนจะกินของหวานก็กินให้เต็มที่ไปเลย แต่ว่าวันถัดมาก็ต้องควบคุมแป้งและน้ำตาล เพราะถือว่าชดเชยกับปริมาณน้ำตาลและแป้งที่เรากินไปเมื่อวาน เพราะไม่ให้ร่างกายได้รับปริมาณที่มากเกินไป
เมนูของหวานที่แคลอรีน้อย กินแล้วไม่ต้องรู้สึกผิดมาก
เป็นยังไงกันบ้างกับ เทคนิคกินของหวาน กินยังไงไม่ให้รู้สึกผิด? พร้อมกับเมนูของหวานที่แคลน้อย อร่อยแถมยังไม่ต้องห่วงเรื่องสุขภาพมาก ไม่ต้องรู้สึกผิดแล้วก็ไม่ต้องเบิร์นเยอะให้เหนื่อย ถึงเราจะเป็นสายหวานแต่เราก็ยังต้องรักษาสุขภาพควบคู่กันไปด้วย
สามารถติดตามโปรโมชั่น ที่ไม่ควรพลาดได้ที่ Facebook : Hungry Hub แอปจองมื้อพิเศษอันดับ 1 ของไทย