ในโลกใบนี้มีอาหารมากมายที่ให้ได้ลิ้มลองนับไม่ถ้วน แต่กับ 15 อันดับ อาหารที่แพงที่สุดในโลก นับว่าเป็นเหมือนกับขุมทรัพย์ชั้นเยี่ยม ที่นอกจากจะหามาอย่างยากลำบาก ยังมาพร้อมกับราคาที่สูงลิ้ว ชนิดที่ว่ากินมื้อเดียวก็แทบขายบ้าน 1 หลังจะมีอาหารอะไรบ้างไปดูกันเลย!
อันดับ 15 : Oyster (หอยนางรม)
ถึงแม้ว่าจะเป็นเมนูที่สามารถหารับประทานได้ตามร้านอาหารทะเล ในปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้น หอยนางรม กลับมีจำนวนที่น้อยกว่าสมัยก่อนเป้นอย่างมาก
เมื่อ 2,000 ปีก่อน หอยนางรมได้ถูกเพาะปลูกโดยนักประดิษฐ์และวิศวกรไฮดรอลิก ชาวโรมัน นามว่า Sergius Orata โดยการสร้างรังหอยนางรมเทียม เมื่อ 97 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก่อนที่จะกลายเป็นของทานเล่นที่สามารถหาได้ทั่วไปในช่วง 200 ปีต่อมา
แต่หลังจากนั้นจำนวนของหอยนางรมกลับมีน้อยลงไปเรื่อยๆ จากการล่าเพื่อนำมารับประทานบ่อยมากขึ้นเลยทำให้ในปัจจุบันนับว่าเป็นเมนูที่มีค่าใช้จ่ายที่สูง โดย Coffin Bay King Oysters ซึ่งเป็นหอยนางรมพันธุ์ออสเตรเลีย ที่ต้องใช้เวลาในการเติบโตถึง 6-7 ปี โดยมีราคาสูงที่สุดอยู่ที่ กิโลล่ะ 77 ดอลล่าห์สหรัฐ หรือประมาณ 2,533.11 บาท เลยทีเดียว
บทความที่่เกี่ยวข้อง
หอยนางรม เมนูเสริมแกร่งที่คุณผู้ชายห้ามพลาด
อันดับ 14 : Extra Virgin Olive Oil (น้ำมันมะกอก)
น้ำมันมะกอกนับว่าเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมในโซนตะวันตกเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่ได้เป้นที่นิยมในประเทศไทยสักเท่าไหร่นัก
โดยน้ำมันมะกอกชนิดนี้จะเป็นน้ำมันที่ถูกสกัดเย็น จากผลมะกอกดิบโดยไม่ผ่านความร้อนใดๆ จึงมีคุณภาพที่ดีเยี่ยม มีความหอมและมีราคาที่สูงกว่าชนิดอื่นๆ เป็นอย่างมาก เหมาะกับการนำไปใส่กับอาหารที่ไม่ใช้ความร้อนในการปรุง อาทิ น้ำสลัดที่หมักกับเนื้อสัตว์ หรือการจิ้มกับขนมปังเป็นต้น
โดยน้ำมันมะกอก Extra Virgin Olive Oil จะมีราคาสูงที่สุดอยู่ที่ 89 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 2927.88 บาท
อันดับ 13 : Goose barnacles (เพรียงคอห่าน)
เห็นอย่างนี้อย่าพึ่งสับสนกับ “ห่าน” ที่เป้นสัตว์ปีกเชียวล่ะ โดย Goose Barnacies สามารถเรียกได้อีกอย่างว่า เพรียงก้าน โดยเป้นเพรี้ยงทะเล ที่มีเปลือกแข็งอาศัยอยู่ตามโขดหิน น้ำทะเลลึก สามารถพบเจอได้ตามประเทศต่างๆ อาทิ ออสเตรเลีย กาบูเวร์ดี (ประเทศโปรตุเกส) ฝรั่งเศส โมร็อกโก และสเปน
โดยเป็นหนึ่งในอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อว่าแพงที่สุดในโลก มีมูลค่าที่สูงถึง 125 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4106.25 บาท เพราะ มีรสชาติที่เค็ม เหมาะกับการทานคู่กับไวน์เขียว (vinho verde wine)
อันดับ 12 : Fugu Fish หรือ Puffer fish (ปลาปักเป้า)
ปลาปักเป้า หนึ่งในสายพันธุ์ปลาที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยพิษที่รุนแรงสามารถทำให้ผู้คนเสียชีวิตได้หากรับประทานอย่างผิดวิธี หรือ ไมใช่ผู้เชี่ยวชาญที่ได้ขึ้นทะเบียนจากรัฐบาลเป็นคนปรุงอาหารให้ จึงทำให้มีราคาที่สูงถึง 470 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 15439.5 บาท
โดยภายในของปลาปักเป้าจะมีสารพิษที่เรียกว่า เทโทรโดท็อกซิน (tetrodotoxin) ในส่วนรังไข่ ลำไส้ และหนังปลา โดยจะสร้างความอันตรายต่อเนื้อเยื่อประสาท ขัดขวางการลำเลียงโซเดียม ซึ่งจะทำให้ เซลล์ประสาทไม่สามารถได้ตามปกติ เพียง 1-2 กรัมของปลาปักเป้าก็สามารถทำให้เสียชีวิตได้
อันดับ 11 : Moose Cheese (มูสชีส)
Moose cheese มูสซีสเป็นซีสที่เรียกได้ว่า ซีสคนพันธุ์อึด ที่แท้จริง เพราะซีสชนิดนี้มาจากประเทศเซอร์เบีย โดยทำมาจากนมของลา โดยตัวลานั้นก็จะให้น้ำนมที่น้อยกว่านมวัวเป้นอย่างมาก ใน 1 กิโลกรัมของซีสนี้ จะต้องใช้น้ำนมถึง 25 มิลลิลิตรเลยทีเดียว
แต่ถึงจะอยากในการผลิตสิ่งที่ได้ตอบแทนออกมาถือว่าคุ้มค่ากับความพยายาม เพราะรสชาติของซีสจะมีความหอม เข็มข้น เหมาะกับการกินกับขนมปัง หรือ ไส้กรอก เป็นต้น
มูลค่าของมูสซีสจะอยู่ที่ 500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 16,440.00 บาท ไปจนถึง 30,000 บาทขึ้นไป
อันดับ 10 : Vanilla (วนิลา)
ได้ยินคำว่าวนิลา หลายๆคนก็อาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่า ทำไมของหวานที่เราเห็นทั่วไปกลับมีราคาที่แพง จริงๆ แล้วมีสาเหตุอยู่ เมื่อประมาณช่วงปี 2017 ได้เกิดพายุไซโคลนถล่มที่ มาดากัสการ์ เอเชียใต้ และทวีปแอฟริกา ซึ่งเป้นแหล่งรวมวนิลา 75% ของโลก เลยทำให้มูลค่าของวนิลาในตอนนี้มีราคาที่สูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 19,710 บาท และหลายที่ที่ต้องใช้วนิลาในการทำของหวานก็ต้องปรับตัวลดสูตรลงไปตามๆกัน เพื่อลดต้นทุน
อันดับ 9 : Matsutake mushrooms (เห็ดมัตสึทาเกะ)
เห็ดมัตสึทาเกะ มีอีกชื่อว่า เห็ดต้นสน เป็นเห็ดที่ไม่สามารถปลูกได้ทั่วไป และมีความหายากเป็นอย่างมาก เพราะสามารถทานได้เพียงปีล่ะครั้ง เห็ดชนิดนี้จะมีกลิ่นที่เข้มข้น เหมาะกับการนำไปย่างไฟหอมๆ หรือ เสริฟกับข้าวปรุงรส โดยราคาจะสูงถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 32,850 บาท จนถึง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 65,820.00 บาท
อันดับ 8 : Iberico ham (ไอเบอริโก้แฮม)
ในไทยนิยมชอบกินขาหมู แต่ในสเปนก็มีขาหมูระดับพรีเมี่ยมที่เหมาะกับการทานคู่กับไวน์อย่าง แฮมขาหมูดำ หรือ ไอเบอริโกแฮมด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งแฮมชนิดนี้เป็นเนื้อที่มาจาก ไอบีเรียสีดำ ในคาบสมุทรไอบีเรีย ของประเทศสเปนและโปรตุเกสเท่านั้น ที่มีความอร่อย และรสชาติที่ยอดเยี่ยม ที่ต้องใช้เวลาถึง 2 ปีด้วยการเลี้ยงแบบธรรมชาติ
โดยขาข้างนึงของ หมูไอบิเรียสีดำ จะต้องใช้เงินจำนวน 4,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 147,825 บาท เพื่อได้ลิ้มลองความอร่อยแบบนี้
อันดับ 7 : Black Watermelon (แตงโมดำ)
หากพูดถึงผลไม้ที่มักจะนิยมในหน้าร้อน อย่าง แตงโม หลายๆคนก็นึกภาพลูกเขียวๆ กลมๆ ก้อนใหญ่ๆ ที่มีเนื้อสีแดงรสหวานฉ่ำ แต่เชื่อหรือไม่ว่าในดลกนี้ยังมีแตงโมที่เป็นลูกสีดำอีกด้วย
จริงๆ แล้วแตงโม สีดำ หรือ (Black watermelon) ไม่ใช้แตงโมที่ถูกเผาแต่อย่างใด แต่เป้นสายพันธุ์ที่มีชื่อว่า แตงโมเดนสุเกะ ซึ่งเป้นของขึ้นชื่อจากฮอกไกโด ในประเทศญี่ปุ่น โดยแตงโมชนิดนี้จะให้ผลผลิตเพียงปีล่ะครั้ง และจำนวนจำกัดน้อยกว่า หนึ่งแสนลูกเท่านั้น โดยเป็นการปลูกเพื่อทดแทนพื้นที่ทำการเกษตรหลังจากที่เกี่ยวข้าวเป็นที่เรียบร้อย
ซึ่งแตงโมชนิดนี้จะมีราคาสูงถึง 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 197,100 บาท เลยทีเดียว
อันดับ 6 : Saffron (หญ้าฝรั่น)
เครื่องเทศที่ขึ้นชื่อว่าแพงที่สุดในโลกอย่าง หญ้าฝรั่น โดยเป็นเครื่องเทศที่หลายๆคนอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นหูมากนัก แต่จะสามารถพบได้ตามร้านอาหารหรูๆ เพราะว่าเครื่องเทศชนิดนี้จะมีมูลค่าที่สูงแบบสูงมากๆ ถึง 5000 – 10000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 164,250 – 328,500 บาท
โดยรสชาติของหญ้าฝรั่น จะมีรสชาติที่เผ็ด มีกลิ่นคล้ายฝาง มักนำไปทำเมนูต่างๆ อาทิ ข้าวหมกไก่ ข้าวอบทะเล ข้าวผัดสเปน เป็นต้น
อันดับ 5 : White truffles (เห็ดทรัฟเฟิลขาว)
เห็ดที่ได้ขึ้นชื่อว่าแพงที่สุดในโลก มักจะพบได้ในฤดูหนาว ช่วงเดือนพฤศจิกายนจนบางครั้งลากยาวไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ และไวท์ทรัฟเฟิลที่มีราคาสูงที่สุด จะมาจากเพียดมองต์และอัลบาในประเทศอิตาลี ไม่สามารถปลูกได้เอง ต้องตามหาในธรรมชาติเท่านั้น โดยราคาสูงจนมีมูลค่าเหมือนเพชร 6,000 – 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 197,100 – 328,500 บาท
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
อันดับ 4 : Wagyu beef (เนื้อวากิว)
เนื้อวากิว นับว่าเป็นเนื้อจากญี่ปุ่นฝันที่หลายๆ คนฝันว่าต้องรับประทานให้ได้ ด้วยรสสัมผัสที่มีความนุ่มละมุน นุ่มลิ้น กินกี่ทีก็ฟิน แต่ถึงแม้จะมีความอร่อยจนเกินห้ามใจ แต่กลับมีมูลค่าที่สูง กว่าเนื้อวัวแบบอื่นๆ โดยเฉพาะ American wagyu beef ซึ่งเป็นเนื้อที่มาจากอเมริกา มีเนื้อที่นุ่มกว่าเป็นอย่างมาก มีความหวานฉุ่มฉ่ำ และหอมลงตัว โดยในปี 2002 เนื้อชนิดนี้ก็มีราคาที่สูงถึง 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 13,140,000.00 บาทเลยนั้นเอง
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
เนื้อวากิว คืออะไร มีกี่ระดับ มาจากเมืองไหน? ข้อมูลที่คนรักเนื้อห้ามพลาด
อันดับ 3 : Swallow's Nest Soup (ซุปรังนก)
ซุปรังนก เป็นหนึ่งเมนูที่ได้รับความนิยมในประเทศจีน โดยสิ่งที่ทำให้แพงก้คือ รังนกนางแอ่น ซึ่งสามารถพบได้ในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่ง รังนกชนิดนี้จะมีราคาที่สูงเป็นอย่างมาก ถึง 5,000 – 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 197,592.00 บาท
อันดับ 2 : Caviar (คาเวียร์)
คาเวียร์ สามารถเรียกได้อีกอย่างนึงว่า ไข่ปลาคาเวียร์ (Caviar) ซึ่งวัตถุดิบอาหารชนิดนี้หลายๆ คนก็ยังเข้าใจผิดเพราะที่แท้จริงแล้ว เดิมทีมันไม่ได้มาจากปลาคาเวียร์อย่างที่หลายๆคนเข้าใจกัน แต่ มาจาก ไข่ปลาสเตอร์เจียน โดยจะมาจาก ทะเลสาบแคสเปียน ใน อาเซอร์ไบจัน, อิหร่าน และรัสเชีย โดยคาเวียร์ที่มีราคาแพงที่สุดก็คือ Strottarga Bianco หรือ สเตอร์เจียนเผือก ที่มีมูลค่าสูงถึง 37,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1,215,450.00 บาท
อันดับ 1 : Bluefin tuna
อันดับ 1 ตลอดกาล ก็ต้องยกให้ Bluefin Tuna หรือ Hon Maguro ปลาที่ขึ้นชื่อว่ามีราคาสูงที่สุดในโลก โดย Blue fin จะอาศัยอยู่ในน้ำทะเลลึก นับว่าเป็นที่นิยมของคนในญี่ปุ่น และนับว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญตัวหนึ่ง โดยเนื้อชนิดนี้จะมีไขมันแทรกตัวที่เยอะ คล้ายๆกับเนื้อวากิว ให้พลังงานที่น้อย แต่มีรสชาติดี เนื้อชุ่มฉ่ำและ มีสารอาหารมากมาย
อีกปัจจัยที่ทำให้มีราคาที่สูง เพราะว่าจำนวนของปลาชนิดนี้ กับความต้องการของคนไม่เพียงพอ จึงทำให้ขาดตลาดๆ เรื่อยๆ
ซึ่งเมื่อปี 2020 มีชาวประมงได้ค้นพบ Blue Fin ที่มีน้ำหนักตัวถึง 600 ปอนด์ ซึ่ง 1 ปอนด์มีมูลค่าสูงถึง 5,000 หรือราวๆ 1,215,450.00 ดังนั้นตัวนี้จึงมีมูลค่าที่สูงที่สุดที่ 1.8 ล้านบาทนั้นเอง
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
โอโทโร่ คืออะไร? (Otoro) ความลับส่วนที่อร่อยที่สุดของปลาทูน่า
และนี้ก็คือ 15 อันดับ อาหารที่แพงที่สุดในโลก ที่ความอร่อยต้องแลกมาด้วยเงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทานก็ยังมีเมนูอื่นๆ และวัตถุดิบอีกมากมายบนโลกนี้ที่ต้องสัมผัส ซึ่ง Hungry Hub ก็มีเมนูหลากหลาย พร้อมกับร้านดังมากมาย ที่สามารถจองได้ในราคาสุดคุ้ม ถ้าสนใจก็สามารถเช็คได้เลย ที่ Hungry Hub