Hungry Hub แพลตฟอร์มจองร้านอาหารพร้อมดีลพิเศษ จัดงานประกาศรางวัล ‘Hungry Hub Award’ ปีที่ 1 รวบรวมรางวัลดาวเด่นร้านอาหารขายดี ประเภทต่างๆ ในปี 2020 มอบรางวัลให้กับร้านอาหารพันธมิตรกว่า 30 รางวัล พร้อมแชร์ประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจอาหารจาก CEO และผู้ประกอบการ ทั้งเจ้าของร้านอาหาร Stand Alone ไปจนถึง F&B โรงแรมชั้นนำ
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 Hungry Hub แพลตฟอร์มจองโต๊ะร้านอาหาร ได้จัดงาน Hungry Hub Award 2020 ณ โรงแรม โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ รวบรวมรางวัลร้านอาหารขายดีและโดดเด่นในประเภทต่างๆ ในปี 2020 กว่า 30 รางวัล มอบให้กับร้านอาหารพันธมิตรที่ร่วมทำโปรโมชั่นกับ Hungry Hub มีทั้งร้าน Stand Alone ร้านอาหารในห้างฯ ห้องอาหารโรงแรมชั้นนำ รวมถึงรูฟท็อป พร้อมเปิด Session แชร์ข้อมูลเพื่อผู้ประกอบการร้านอาหาร ทั้ง Insigh และเทคนิคในการเพิ่มยอดขาย ร่วมกับ 3 Speaker จากร้านอาหารที่ได้รางวัล คือ รสดีเด็ด โรงแรมบันยันทรี และคอปเปอร์ บุฟเฟ่ต์
คุณสุรสิทธิ์ สัจจะเดว์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Hungry Hub เผยสถิติ Benchmark ปี 2020 ว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการจองโต๊ะแล้วกว่า 1,100,000 ที่นั่ง มีร้านอาหารเข้าร่วมกว่า 500 ร้านอาหาร พบว่าแพ็กเกจที่ขายดีที่สุดคือ All You Can Eat หรือเปลี่ยนร้าน A la carte เป็นบุฟเฟ่ต์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Hungry Hub เลยก็ว่าได้ ยอดขายต่อหนึ่งการจอง เฉลี่ยสูงถึง 2,400 บาท ถ้าคิดเป็นต่อหัวจะอยู่ที่ 900 บาท และมี Top Customer หรือลูกค้าที่จองร้านอาหารผ่าน Hungry Hub จำนวนมากที่สุดในปี 2020 มากกว่า 70 ครั้งต่อปี ลูกค้ารายเดียวใช้จ่ายไปถึง 170,000 บาท
นอกจากนี้ยังเผยสถิติ 2020 Performance Report ร้านอาหารที่ทำยอดขายได้สูงสุดจาก Hungry Hub ส่งรายได้ไปกว่า 35 ล้านบาท ได้แก่ร้าน Audrey Cafe (ออเดรย์คาเฟ่) โดยมีจำนวนลูกค้าที่จองโต๊ะผ่าน Hungry Hub เกือบ 50,000 หัว นับว่าเป็นตัวเลขที่สูงสำหรับวงการบุฟเฟ่ต์ อย่างไรก็ตาม Hungry Hub ก็มีแพ็กเกจอื่นๆ อย่าง Buffet Plus / Party Pack / Staycation / Hungry Lunch และ Hungry@Home ที่ตอบโจทย์ทั้ง Dine-in และ Delivery อีกด้วย
คุณสุรสิทธิ์ สัจจะเดว์ ยังแชร์ 6 เทคนิคสำคัญช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านอาหาร “ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อจากการดูรูปจากเว็บไซต์เปรียบเทียบกับรูปจากรีวิวลูกค้าจริง ดังนั้นร้านอาหารจะต้องมีรีวิวที่ดี ควบคู่ไปกับรูปถ่ายที่สวย ในการทำโปรโมชั่นต้องทำราคาที่ดูแล้วตัดสินใจได้ทันทีว่าคุ้มค่า เช่น กินสองจานแล้วคุ้ม ทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น ด้านแพ็กเกจที่ขายดีมักจะรวมน้ำ อาจจะเป็นม็อกเทล น้ำอัดลม หรือ น้ำเปล่า และควรมี Seasonal แคมเปญหรือเมนูเพื่อเพิ่มความแปลกใหม่ และในช่วงเทศกาลสำคัญ ร้านอาหารควรจะทำแคมเปญร่วมกับ Hungry Hub เพราะแม้จะขายดีอยู่แล้ว แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีความต้องการสูงจากลูกค้า Hungry Hub ด้วยเช่นกัน”
คุณสุรสิทธิ์ สัจจะเดว์ ได้เน้นย้ำพันธกิจของ Hungry Hub คือต้องการเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้ร้านอาหารอย่างยั่งยืน ไม่เน้นการลดราคา ใช้กลยุทธ์ Up-selling พร้อมทำการตลาดให้ร้านอาหาร ซึ่ง Hungry Hub มีทั้ง Own Media / Paid Media เครือข่าย Blogger และโรงแรมชั้นนำ พร้อมมุ่งเน้นพัฒนา Product ที่หลากหลายที่เกี่ยวกับร้านอาหาร ไม่เพียงแต่เป็นแพลตฟอร์มจองร้านอาหารเพียงอย่างเดียว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าให้ครอบคลุม ซึ่งในปี 2020 Hungry Hub ได้แตกไลน์แพ็กเกจที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ เดลิเวอรี่ / ระบบจอง Free Reservation / Daycation Staycation / Bundle ร้านอาหารกับโรงแรม รวมถึงจัดงาน The Connection เปิดพื้นที่เชื่อมต่อผู้ประกอบการร้านอาหารได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างโอกาสในการทำงานร่วมกัน
สำหรับปี 2021 Hungry Hub ยังคงพัฒนาแพ็กเกจใหม่ๆ เพิ่มร้านอาหารพาร์ทเนอร์ เน้นเป็นแพลตฟอร์มร้านอาหารเพื่อโอกาสพิเศษ รวมถึงทำการตลาดใหม่ๆ และพัฒนาด้านเทคโนโลยี ทั้งระบบการจอง และ Royalty Program เพื่อกระตุ้นลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้ทำการขยายตลาดไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก อย่างภูเก็ตและพัทยาอีกด้วย
คุณสิทธิฉันท์ วุฒิพรกุล (คุณนพ) เจ้าของร้านรสดีเด็ด เจ้าของรางวัล Meat Lover และร้านอาหารขายดีประเภทสเต็ก กล่าวถึงประสบการณ์การทำเนื้อไทย จากร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่เปิดมานานกว่า 50 ปี พัฒนาขีดจำกัดของโคไทยจนแตกไลน์เป็นร้านสเต็กเฮาส์และปิ้งย่างยากินิกุ ว่า “คนมักจะคิดว่าเนื้อไทยไม่อร่อย คุณภาพไม่ดี แต่จากการศึกษาด้านเนื้อ พบว่าในปัจจุบันวิทยาศาสตร์ทางการเกษตรของไทยค่อนข้างแข็งแรง เลยพัฒนาขีดจำกัดของเนื้อไทยด้วยการทำเนื้อ Dry-aged และใช้กลยุทธ์การทำงานเป็นรูปสามเหลี่ยม คือ เจ้าของร้านคุยกับลูกค้า นำฟีดแบคไปถามนักวิชาการว่าปรับปรุงตรงไหนได้บ้าง จากนั้นคุยกับเกษตรกรเพื่อพัฒนา ทำให้เนื้อไทยมีรสชาติและคุณภาพที่ดี
คุณสิทธิฉันท์ วุฒิพรกุล กล่าวเสริมถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับ Hungry Hub ว่า “Hungry Hub เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่เพิ่มยอดขายแม้ว่าร้านจะมีที่นั่งจำกัด แต่สามารถทำงานร่วมกับ Hungry Hub ได้ เมื่อยอดขายเพิ่ม เกษตรกรก็มีกำลังใจในการพัฒนาโคเนื้อไทย” ซึ่งคุณนพทิ้งท้ายอีกว่า “ร้านอาหารควรจะรู้ว่า จะเดินแบบไหนไปคู่กับเกษตรกร ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ ถึงจะประสบความสำเร็จ และอยากให้ร้านอาหารหันมาใช้โคเนื้อไทยมากขึ้น ถ้าเนื้อไทยผ่านฝีมือร้านอาหาร สื่อสารกับลูกค้า ทำรสชาติได้ตอบโจทย์ ขายได้แน่นอน”
คุณมานพ โล่ห์บัณฑิตกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯ ที่คว้าไปถึง 3 รางวัล ทั้งรางวัล Hotel for Foodies รูฟท็อปหมื่นล้าน และร้านอาหารสำหรับโอกาสพิเศษ และยังเป็นโรงแรมที่ได้ Collaboration กับร้าน Copper Buffet ภายใต้แพ็กเกจ Staycation คุณมานพกล่าวว่า “จากการที่ธุรกิจโรงแรมเจอผลกระทบจากโควิด สิ่งที่ต้องมีเพื่อความอยู่รอด คือความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และการสื่อสาร เพราะว่าเราไม่มีเวลาเอาจุดอ่อนมาพัฒนา ต้องเลือกแต่จุดแข็ง ซึ่งจุดแข็งของโรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯ ก็คือดาดฟ้า เราคิดแค่ว่าจะเอาจุดแข็งที่เรามีมาทำยังไงให้มันคมขึ้น คู้ค้าคู่คิดที่มาช่วยเราคือ Hungry Hub มาช่วยนั่งคิดว่าไอเดียไหนจะใช้ได้บ้าง”
“ซึ่งร้านอาหาร Vertigo รูฟท็อปของโรงแรมบันยันทรีของเราเสิร์ฟเป็นเซ็ตมาตลอด แล้วเราก็เคยอยู่ในจุดที่จากที่เคยมีคนต่างชาติมาจองล่วงหน้า จนไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่จะไม่มีแขก จนกระทั่งมาถึงสถานการณ์นี้ วันที่คิดริเริ่มสร้างสรรค์ คือทำยังไงให้ Vertigo ขาย All You Can Eat ได้ ใช้เวลาพัฒนาร่วมกันจนเกิดเป็น Big Success ของปี 2020 เลยก็ว่าได้ จนนำไปสู่การต่อยอด คือการร่วมมือกับ Copper Buffet ซึ่งก็เป็นความร่วมมือที่ได้รับจากพาร์ทเนอร์ Hungry Hub”
คุณเกษมสันต์ สัตยารักษ์ ผู้จัดการทั่วไป Copper Buffet ร้านบุฟเฟ่ต์นานาชาติชื่อดัง ยอดขายหลักร้อยล้านต่อปี ได้กล่าวถึงวิธีการทำการตลาดที่ร้านอาหารไม่ควรมองข้าม นั่นก็คือการสร้าง Relationship กับเหล่า Blogger และ Youtuber ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดขายของร้านอาหารได้เป็นอย่างดี ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การตลาด Blogger ประสบความสำเร็จ คือจะต้องคำนึงถึงคุณภาพอาหาร บริการ และให้อิสระกับนักรีวิวมากที่สุด ดูแลแบบเต็มที่ เหมือนลูกค้าทั่วไป โดยมองว่าเป็นการตลาดแบบช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด” เป็นหนึ่งในงบการตลาดที่ควรลุงทุน ไม่ควรมองว่าสิ้นเปลือง ซึ่งข้อดีคือ Blogger จะยินดีช่วยเหลือทั้งด้านการรีวิวและสื่อสารเมื่อมีฟีดแบคไม่ดีจากลูกค้า
Hungry Hub นอกจากจะเป็นช่องทางการจองโต๊ะแล้ว ยังมีเครือข่าย Blogger เพื่อทำการตลาดให้ร้านอาหารอีกด้วย ข้อดีของ Blogger ที่มาจาก Hungry Hub คือ ทางร้านอาหารไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจ้าง Blogger ที่ปกติจ้างหลักหลายพันไปจนถึงหลักหมื่น ทางร้านแค่ช่วยในส่วนของค่าอาหารเท่านั้นและ Hungry Hub ใช้วิธีการคัดเลือกบล็อกเกอร์ที่มีคุณภาพ ตรงกับฐานลูกค้า ซึ่ง Blogger ที่ส่งมาสามารถวัดผลได้ ว่ามีลูกค้าจองมาจากการรีวิวนั้นมากน้อยเท่าไร ทำให้รู้ว่า Blogger แบบไหนเหมาะกับร้านอาหาร
ภายในงานยังมีพาร์ทเนอร์จากร้านอาหารและโรงแรมชั้นนำ อาทิ ออเดรย์ คาเฟ่ บุญตงกี่ เนตะกริว โรงแรมโอเรียลเต็ล โรงแรมโซแบงค็อก โรงแรมในเครือแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และอีกมากมาย ร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของ Hungry Hub ที่ต้องการสร้างพื้นที่พบปะและสร้างโอกาสในการร่วมงานกันของวงการร้านอาหารอีกด้วย
ทางด้านเป้าหมายหลักของ Hungry Hub ยังคงเป็นการมุ่งเน้นที่จะเป็นผู้นำทางด้านแพลตฟอร์มเพิ่มรายได้ให้แก่ร้านอาหารได้อย่างยั่งยืน (Sustainable Revenue) ด้วยวิธีทางการตลาดและประสบการณ์การทำเมนูอย่างเป็นมืออาชีพ นอกจากตลาดกรุงเทพฯที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังขยายสู่ตลาดภูเก็ต พัทยา และมีแผนในการขยายสู่หัวเมืองที่เป็นหัวเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศไทย รวมถึงต่างประเทศในอนาคตอีกด้วย
หากร้านอาหารสนใจร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ กับ Hungry Hub สามารถติดต่อได้ที่ คลิก หรือ โทร 062-827-4333
บทความอื่นๆ เกี่ยวกับร้านอาหารที่น่าสนใจ :