เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเริ่มเบื่อกับการที่ต้องอยู่บ้านเป็นเวลานาน ไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศอย่างที่เคย อาจจะคิดถึงบรรยากาศหรือ อาจจะเป็นอาหารประจำชาตินั้น ๆ และอาหารอินเดียอาจจะเป็นหนึ่งในความคิดที่ใครหลาย ๆ คนอยากลอง หรือชื่นชอบอยู่แล้ว
Haōma (ฮา-โอ-มา) ร้านอาหารอินเดีย Fine Dining ที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 31 ซึ่ง Haōma มีความหมายว่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ โดยเป็นต้นไม้ที่เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งและหยั่งรากลึกเพื่อเป็นแหล่งสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่โลกนี้
คอนเซปต์ที่เป็นจุดเด่นของร้าน Haōma คือตั้งใจที่จะเป็นร้านอาหาร Zero waste เริ่มต้นด้วยการนำของเหลือมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การทำรากตะไคร้ที่เหลือทิ้งจากการทำอาหารครั้งก่อนมาปลูกใหม่ หรือจะเป็นการนำเศษอาหารมาทำเป็นอาหารปลา ไว้เลี้ยงปลาในร้านโดยเฉพาะ

บรรยากาศ : บรรยากาศภายนอกตั้งแต่ทางเข้าจะเห็นสัญลักษณ์ของร้านเป็นสีทองสะดุดตา ไม่ว่าใครเห็นจะต้องหยิบมือถือหรือกล้องขึ้นมาถ่าย และที่สำคัญมีการจัดโต๊ะในหลายรูปแบบให้เลือกได้กัน ไม่ว่าจะเป็นโทนขาวดำ หรือมีสีสันก็มีทั้งคู่ 🖤🧡 ภายในร้านตกแต่งแนว Industrial Loft คุมโทนด้วยชุดโต๊ะเก้าอี้สีไม้ เพิ่มความสดชื่นด้วยสวนแนวตั้งภายในร้าน นอกจากนี้ก็ยังเห็นแปลกผักที่ทางร้านปลูกเองด้วยนะ
รสชาติ : เรามาเริ่มจานแรกที่ Murg Malal Kebab เป็นเมนูที่เรียกว่าเก๋มาก ๆ ด้วยการเสิร์ฟมาบนเตา ทำให้เครื่องเทศที่หมักมาหอมขึ้นแบบสุด ๆ ถึงจะเสิร์ฟมาบนเตาแต่เนื้อไก่ไม่แห้งนะจ้ะ เจ๋งใช่ไหมล่ะ
ถัดมา Chicken Awadhi Biryami ที่เสิร์ฟมาในหม้อดินเพื่อให้ยังคงความหอม และเป็นออริจินัลแบบแท้จริง ตัวข้าวหอมทั้งเครื่องเทศและ Herbs ต่าง ๆ ที่ใส่มา ทำให้เวลาทานแล้วรู้สึกอยากทานต่อเรื่อย ๆ

Chicken Tikka Masala เมนูยอดฮิตสำหรับคนที่ชื่นชอบอาหารอินเดียไม่ควรพลาด ด้วยความโดดเด่นของตัวเครื่องเทศ และรสชาติที่เชฟทำให้เมนูนี้เข้าไปอยู่ในใจใครหลาย ๆ คนที่ได้ทานอย่างไม่มีที่ติ
ลบภาพเดิม ๆ จากเคบับที่เคยเห็นด้วยเมนู Deconstructed Galauli Kebab Tarts เคบับที่หน้าตาเหมือนทาร์ต ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ รสชาติก็บอกได้เลยว่า ทำออกมาได้ดีมาก ตัวแป้งกำลังดีไม่หนาหรือบางเกินไป กัดเข้าไปแล้วได้เนื้อสัมผัสกรุบ ๆ ของถั่วลูกไก่
Nilgiri Chicken เป็นเมนูที่สะดุดตาที่สุด ด้วยสีสันที่แปลกตา เป็นแกงที่มีความเข้มข้นมาก เนื้อเนียนละเอียด มีรสชาติเผ็ดนิด ๆ ตัวเนื้อไก่ทำออกมาได้สุกพอดี เป็นอีกหนึ่งเมนูที่หอมเครื่องเทศสุด ๆ
Paneer Tikka เป็นคอทเทจชีสสดที่มีรสเค็มเล็ก ๆ ตัวเนื้อสัมผัสนุ่ม ๆ ทานคู่กับตัวซอสคือไปด้วยกันได้ดีมาก ๆ
และสำหรับอาหารทะเล ก็มีนะอย่างเมนู Madras Curry Seafood เมนูที่ต้องบอกเลยว่าไม่ควรพลาด แกงกะหรี่ที่เนื้อเนียนละเอียดเหมือนทานซุป รสชาตินุ่มนวล เบา และกลิ่นไม่แรงเกินไป ตัว Foam จะมีรสชาติเปรี้ยวมาช่วยตัดรสได้ดี กุ้งสด เด้ง หวาน ทานรวมกันคือกลมกล่อม เป็นแกงกะหรี่แนวใหม่ที่ควรค่าแก่การลองเลยล่ะ

ของคาวแล้วของหวานก็ต้องมาด้วย ! เริ่มด้วยขนมที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับอาหารอินเดียคือ Gulab Jamun เนื้อแป้งฉ่ำ ๆ รสชาติค่อนข้างหวาน เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมรสนม แนะนําให้ทานคู่กัน เป็น Combination ที่ลงตัวมาก เพราะไอศกรีมนมจะเป็นส่วนที่ทำให้ตัวแป้งรสชาติพอดี ไม่หวานเกินไป ละมุนขึ้น

Chocolate Caramel and Gold Pudding ของหวานมาในกล่องสีทองสุดหรู มีการออนท็อปด้วยทองคำเปลว ตัวช็อกโกแลตคาราเมลมีเนื้อสัมผัสเบา ๆ เหมือนกับวิปปิ้งครีม ตัวพุดดิ้งก็ทำออกมาได้ดี เนื้อละเอียด นุ่ม ๆ ไม่ว่าจะทานแยกหรือทานคู่กันก็พูดได้เลยว่าฟินสุด ๆ
ในส่วนของเครื่องดื่มเริ่มด้วย Madame Coco บอกเลยว่าครั้งแรกที่อ่านคิดว่าต้องเป็นโกโก้รสเข้ม ๆ แน่ ๆ แต่ผิดเพราะเบสมาจากน้ำมะพร้าว แต่รสชาติเหมือนดื่มน้ำมะนาว บอกได้เลยว่า Surprised มาก ๆ และที่สำคัญทำให้แก้เลี่ยนได้ดีสุด ๆ
และแก้วสุดท้ายสำหรับมื้อนี้คือ Tepache เป็นเครื่องดื่มที่หมักมาจากเปลือกสับปะรด ถ้าใครจินตนาการรสชาติไม่ออก รสชาติจะคล้าย ๆ เบียร์ แต่เบากว่าและไม่มี Alcohol นะ กิมมิคเด่นของแก้วนี้คือบริเวณปากแก้ว จะมีเกล็ดของวัตถุดิบลับที่มีรสชาติเผ็ดนิด ๆ (ถ้าอยากรู้ว่าคืออะไร ต้องสั่งนะ!) มีความเก๋ ถ่ายรูปสวยมาก ๆ

สรุป : ถือว่าเป็นอีกหนึ่งร้านที่น่าจะไปลอง ไม่ว่าจะเป็นคอนเซปหรือรสชาติอาหาร ที่ทำออกมาให้ทานง่ายและพรีเซ้นท์ตัวเมนูออกมาได้แปลกใหม่ หลาย ๆ เมนูฉีกภาพอาหารอินเดียแบบเดิม ๆ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่อาหารมาเสิร์ฟ บรรยากาศก็ผ่อนคลายสุด ๆ การเดินทางอาจจะลำบากสำหรับคนไม่มีรถส่วนตัวนิดหน่อยเพราะจะต้องต่อรถเข้ามาหลังจากลง BTS สถานีพร้อมพงษ์ หรือใครสะดวกก็สามารถเดินเข้าไปได้เหมือนกัน