ข่าวดีสำหรับ Hungry Hub!! แอปพลิเคชั่นจองร้านอาหารในประเทศไทย ที่ให้ลูกค้าจองโต๊ะและทานอาหารมื้อพิเศษในร้านชั้นนำแบบบุฟเฟ่ต์ได้ในราคาสุทธิ โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ได้รับความเชื่อมั่นจาก Investors ที่ลงทุนในสตาร์ทอัพ โดยได้รับเงินระดมทุนจำนวน 450,000 ดอลลาร์สหรัฐ จาก Expara (Thailand) และ 500 TukTuks
โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา Hungry Hub สร้างกำไรจากเงินลงทุนของตัวเอง ซึ่งมีลูกค้าไปทานผ่านโปรโมชั่นของ Hungry Hub มาแล้วกว่า 430,000 ที่นั่ง และสร้างยอดขายที่เกิดบนแพลตฟอร์มให้ร้านที่เข้าร่วมมาแล้วกว่า 210 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วมียอดใช้จ่ายต่อหัวราว 800 – 900 บาท นับเป็นยอดใช้จ่ายต่อหัวที่สูงที่สุดของบริการเกี่ยวกับอาหารบนแพลตฟอร์มออนไลน์
Hungry Hub เปิดให้บริการทั้งหมด 4 แพ็กเกจหลักได้แก่:
- All You Can Eat – เปลี่ยนร้านอาหารที่จัดเสิร์ฟแบบอะลาคาร์ทให้กลายเป็นบุฟเฟ่ต์ที่ทานได้ไม่อั้นถึง 2 ชั่วโมง
- Party Pack – ชุดอาหารสำหรับกลุ่ม 4 – 6 ท่าน ที่ทำให้ลูกค้าจ่ายในราคาพิเศษ
- Buffet Plus – เต็มอิ่มได้ไม่อั้นกับร้านบุฟเฟ่ต์ชั้นนำพร้อมสิทธิเศษที่มอบให้เฉพาะลูกค้าที่จองผ่าน Hungry Hub เท่านั้น
- Hungry Lunch – เช็ทมื้อกลางวันที่คัดสรรเฉพาะเมนูเด็ดมาเสิร์ฟในราคาสุดคุ้ม ที่ทานได้ทุกมื้อและทุกวัน
คุณสุรสิทธิ์ สัจจเดว์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทแอปป์เซอร์เวชั่น จำกัด (ฮังกรี้ฮับ) กล่าวว่า “เป้าหมายของ Hungry Hub คือการให้ผู้บริโภคทราบราคาที่ต้องจ่ายอย่างแน่นอนต่อมื้อนั้น ก่อนจะเดินทางไปทานอาหารที่ร้านดังกล่าว ซึ่งวิธีนี้จะช่วยเพิ่มปริมาณค่าใช้จ่ายต่อหัวของลูกค้า ทำให้ร้านอาหารมีรายได้ที่มากขึ้นในแต่ละ 1 ใบเสร็จ ถือเป็นโปรโมชั่นที่สร้างความยั่งยืนให้แก่ร้านอาหาร”
นายอนิกซ์ ลินช์ ตัวแทนนักลงทุนจาก บริษัท เอกซ์พารา (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “มันไม่ใช่แค่เพียงการตลาดแต่ลูกค้าต้องการตัวเลือกที่หลากหลาย ซึ่ง Hungry Hub นำเสนอทางเลือกที่แตกต่างซึ่งช่วยสร้างยอดขายและรักษาลูกค้าให้ร้านอาหาร อีกทั้งยังตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยการสร้างทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถรับประทานอาหารแบบ All You Can Eat หรือ บุฟเฟ่ต์ได้ในร้านอาหารแบบอะลาคาร์ท เพิ่มขีดความสามารถให้เจ้าของร้านอาหาร และตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พิสูจน์ได้จากลูกค้ากว่า 430,000 รายที่ใช้บริการไปแล้ว ซึ่งช่วยตอกย้ำความต้องการในตลาดนี้มีค่อนข้างสูง”
คุณหมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ผู้บริหารกองทุนสตาร์ทอัพเมืองไทยอย่าง 500 TukTuks เสริมว่า “ผมชอบวิธีการนำเสนอของ Hungry Hub ที่แปลกใหม่ในวงการอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเห็นได้ชัดจากยอดขายและคุณภาพของร้านอาหารที่คัดสรรมาให้บริการในแอปพลิเคชั่น ทำให้ลูกค้าและเจ้าของร้านอาหารมองว่า Hungry Hub เป็นตลาดที่น่าสนใจ ต่างจากคู่แข่งที่พุ่งเป้าไปที่การลดราคาอาหาร ซึ่งในทางกลับกัน Hungry Hub ช่วยให้ร้านอาหารเพิ่มยอดขาย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ที่ตรงกับเป้าหมายและมีกำลังจ่าย โดยการลงทุนครั้งนี้ผมมั่นใจว่า Hungry Hub จะกลายเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยและขยายสู่ต่างประเทศได้ในอนาคตอันใกล้”
ในปัจจุบัน Hungry Hub ให้บริการทั้งในกรุงเทพและเชียงใหม่ และพร้อมที่จะขยายไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ในประเทศไทย รวมถึงต่างประเทศในภูมิภาคภายในปี 2020
โดยมีร้านอาหารชื่อดังที่ร่วมพาร์ทเนอร์ได้แก่ Audrey Café, Copper International Buffet, Arno’s, Maisen, Outback Steakhouse, Banyan Tree Hotel, Hilton Sukhumvit และ Sofitel So อีกทั้งยังร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับพาร์ทเนอร์อย่าง Food Blogger และ Klook ซึ่งในปัจจุบัน Hungry Hub กำลังมองหาพาร์ทเนอร์เพิ่มขึ้นเพื่อโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ ที่ช่วยกระจายแพ็กเกจอาหารให้เข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น
เรียกได้ว่าการลงทุนรอบ Seed ในครั้งนี้จะช่วยให้ Hungry Hub ขยายบริการที่ครอบคลุมร้านอาหารอีก 1,000 ร้านภายใน 18 เดือนที่จะถึงนี้ และอีก 12 เดือนข้างหน้าจะมีแผนระดมทุนระดับ Series A ให้ได้ภายในหนึ่งปี เพื่อจะขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ
Hungry Hub เชื่อว่าการลดราคาไม่ใช่ทางออกของการโปรโมชั่นสำหรับร้านอาหารเสมอไป
ขอขอบพระคุณเครดิตจาก: techsauce.co