บางทีเราก็อยากจะมองหาร้านอาหารอิตาเลียนฟิลสบายๆ สักที่แต่บางทีก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี วันนี้ Hungry Hub ขอพาไป รีวิว Rossini’s หนึ่งในร้านอาหารอิตาเลียนในโรงแรมระดับ 5 ดาวอย่าง Sheraton Grande Sukhumvit ที่มีความโดดเด่นทั้งเรื่องไวน์คุณภาพดี และเมนูอาหารที่การันตีถึงรางวัลชั้นนำของโลก งั้นไม่รอช้าไปดูกันว่าจะเป็นยังไงกันบ้าง
รีวิว Rossini’s ร้านอาหารอิตาเลียนดีกรี 1 ใน 100 รางวัลชั้นนำของโลก

Rossini เป็นร้านอาหารอิตาเลียน ที่อยู่บนชั้น 1 ของโรงแรม Sheraton Grande Sukhumvit เปิดให้บริการหลายช่วงเวลาด้วย สำหรับมื้อเช้าจะเปิดตั้งแต่ 7:00 ถึง 10:30 น. ของทุกวัน มื้อกลางวันตั้งแต่ 12:00 ถึง 14:30 น. ในวันจันทร์ถึงศุกร์ บรันช์ จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 12:00 ถึง 15:00 น. เฉพาะวันจันทร์ และดินเนอร์ตั้งแต่ 17:30 น. จนถึง 22:30 น. ทุกวัน


บรรยากาศภายในร้านนั้นจะให้ความรู้สึกราวกับนั่งอยู่ในบ้านแบบทัสกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมการออกแบบบ้านในอิตาลี ที่มีที่มาจากชื่อเมืองในชนบท มีซุ้มต่างๆ มากมาย โดยเน้นโทนสีไปทางสีครีม-เหลืองอ่อน ที่ได้จากอิฐ ไม้ และหินต่างๆ อีกทั้งยังตกแต่งไปด้วยโคมไฟ ต้นไม้ ดอกไม้ประดับ ตามโต๊ะและหน้าต่าง ทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและสงบ เหมือนกับได้นั่งทานอยู่ในบ้านจริงๆ

จุดเด่นที่สำคัญอย่างหนึ่งของที่นี่นั้นก็คือ ภายในร้านนั้นจะมีไวน์นำเข้า และไวน์ในประเทศ ที่จะตั้งโชว์เป็นชั้นวางไว้ เริ่มต้นที่ราคาหลักสองพันไปจนถึงครึ่งแสน และที่สำคัญยังได้รับรางวัล Award Of Excellence จาก Wine Spectator ในปี 2018, 2022 และ 2023 ที่การันตีถึงการจัดลิสต์ไวน์ที่มีความโดดเด่น และรางวัล World’s leading Italian restaurants รางวัลห้องอาหารอิตาเลียนชั้นนำของโลก ที่ได้รับเลือกโดยสมาคม Melius

นอกจากไวน์ที่มีความโดดเด่นแล้ว Rossini ก็ยังขึ้นชื่อในเรื่องของรสชาติของอาหารอิตาเลียน ที่เหมาะสำหรับการมาทานกับเพื่อน ครอบครัว เพราะในแต่ละเมนูที่รังสรรค์ออกมานั้น มาจากเชฟชาวอิตาเลียนแท้ๆ เพื่อให้เข้าถึงรสชาติได้อย่างเต็มอรรถรส ส่วนใครที่มาแบบคู่รักก็จะมีการจัดโต๊ะโรแมนติก ทั้งช่อดอกไม้ และโรยกลีบกุหลาบ เรียกได้เลยว่า เหมาะสำหรับการทานมื้อพิเศษในทุกโอกาสโดยไม่จำเป็นที่จะต้องบินไปถึงต่างประเทศกันเลยทีเดียว

คราวนี้มาเจาะลึกกันในแต่ละเมนูกันบ้าง เริ่มต้นกันด้วยที่ AMUSE BOUCHE หรืออาหารเรียกน้ำย่อยชิ้นๆเล็กที่ทานกระตุ้นต่อมก่อนที่จะเริ่มจานหลัก โดยเชฟ จะเตรียมมาให้บนจานสีเหลี่ยมที่โรยด้วยถั่วเลนทิลดำ โดยเมนูเราได้ลิ้มลองจะมี 3 เมนูด้วยกันอาทิ เมลอนพาร์ม่าแฮม ตามมาด้วยเมนูข้าวทอด อารันชีนี (Arancini) ที่เสิร์ฟกับทรัฟเฟิลมาโย และปิดท้ายด้วยพาเมซานพร้อมกับคาเวียร์ที่ท็อปอยู่ด้านบน

ต่อไปเข้าสู่จานเรียกน้ำย่อยหลักอย่าง TROTA หรือปลาเทราต์ ซึ่งจานนี้ถูกนำเสนอในรูปแบบของ ปลาเทราต์เรนโบว์หมัก (Marinated Rainbow Trout) เนื้อปลานุ่มและซึมซับรสชาติจากการหมักได้อย่างดีเยี่ยม
องค์ประกอบที่โดดเด่นของจานนี้คือ Lemon Snow หรือผงมะนาวเนื้อละเอียดคล้ายเกล็ดหิมะที่โรยอยู่บนปลา ซึ่งมอบมิติของรสเปรี้ยวสดชื่นและกลิ่นหอมของมะนาวได้อย่างน่าสนใจ ช่วยตัดความมันของปลาได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมี แตงกวาอัด (Compressed Cucumber) ที่ผ่านกระบวนการพิเศษทำให้มีเนื้อสัมผัสที่กรอบขึ้น และเสริมรสชาติแตงกวาให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ปิดท้ายด้วย Mojito Aroma ซึ่งเป็นกลิ่นหอมบางๆ ของโมจิโต้ ที่ช่วยยกระดับความสดชื่นให้กับจาน Trota นี้ ทำให้เป็นจานที่ไม่ได้มีดีแค่รสชาติ แต่ยังมีการเล่นกับกลิ่นสัมผัสที่น่าสนใจอีกด้วย

มาถึงจานเรียกน้ำย่อยเมนูถัดไปก็คือ POLIPO หรือปลาหมึกยักษ์ ซึ่งจานนี้ถูกนำเสนอในรูปแบบของ ปลาหมึกยักษ์ย่าง (Charred Octopus) ที่ผ่านการย่างมาอย่างพิถีพิถัน ทำให้เนื้อปลาหมึกมีความนุ่มกำลังดี ไม่เหนียวเลยแม้แต่น้อย พร้อมกลิ่นหอมจากการย่างที่ชวนรับประทาน
สิ่งที่เติมเต็มรสชาติให้กับจานนี้คือการเสิร์ฟคู่กับ Pomodorini in Salsa Rosa (Pink Sauce Tomatoes Confit) หรือมะเขือเทศเชอร์รี่ที่ผ่านการคอนฟิต (ตุ๋นในน้ำมันช้าๆ) และมาในซอสสีชมพูอ่อนๆ ซึ่งให้รสชาติเปรี้ยวอมหวานอย่างนุ่มนวล ช่วยตัดกับรสชาติของปลาหมึกได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมี Nero Di Polipo (Octopus’ Ink) หรือหมึกของปลาหมึก ที่นำมาใช้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการปรุงแต่ง ทำให้จานมีสีสันและมิติของรสชาติที่ลุ่มลึกขึ้น ปิดท้ายด้วยความหอมสดชื่นของ Olio Al Basilico (Basil Oil) หรือน้ำมันใบโหระพาที่ราดมาอย่างบางเบา ช่วยเสริมกลิ่นอายแบบเมดิเตอร์เรเนียนให้กับจานนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แสดงให้เห็นถึงความประณีตในการผสมผสานรสชาติและองค์ประกอบต่างๆ ได้เป็นอย่างดี”

เข้าสู่ช่วงของพาสต้า เริ่มต้นด้วยเมนูคลาสสิกที่คุ้นเคยอย่าง SPAGHETTI VONGOLE จานนี้ใช้เส้น Spaghetti ที่ปรุงมาอย่างลงตัว มีความเหนียวนุ่มกำลังดี ผัดคลุกเคล้ากับ Vongole Veraci Saltate (Sautéed Clams) หรือหอยลายที่ผ่านการผัดจนสุกกำลังดี ให้รสชาติหวานตามธรรมชาติของหอย
การเติมเต็มรสชาติและความหอมให้กับจานนี้คือ Prezzemolo Fresco (Fresh Parsley) หรือพาร์สลีย์สด ที่โรยมาอย่างพอเหมาะ ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมสดชื่น และปิดท้ายด้วยการคลุกเคล้ากับ Olio Extravergine (Extra Virgin Olive Oil) หรือน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้นคุณภาพดี ที่ช่วยเพิ่มความหอมมันและความกลมกล่อมให้กับพาสต้าจานนี้ ทำให้เป็นพาสต้าที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยรสชาติและทานเพลินอย่างยิ่ง

มาถึงช่วงไฮไลต์ของมื้ออย่างอาหารจานหลัก (Main) ซึ่งมีให้เลือกหลากหลาย เริ่มต้นด้วย FILETTO DI MANZO จานนี้คือ Filletto Frollato Alla Ai Ferri (Grilled Angus Tenderloin) หรือสเต๊กเนื้อสันในแองกัส ที่ผ่านการย่างบนเตาจนได้ความสุกที่สมบูรณ์แบบ เนื้อมีความนุ่มละมุนลิ้น และยังคงความฉ่ำของเนื้อไว้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องออกแรงเคี้ยวมากนัก
เนื้อสันในนี้เสิร์ฟพร้อมกับเครื่องเคียงที่เข้ากันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น Purea Di Patate (Mashed Potatoes) หรือมันบดเนื้อเนียนละเอียด ที่ให้สัมผัสที่นุ่มนวลและรสชาติที่กลมกล่อม นอกจากนี้ยังมี Spinaci Saltati (Sautéed Spinach) หรือผักโขมผัด ที่ให้รสชาติและความสดชื่น และขาดไม่ได้คือ Salsa Al Manzo (Beef Jus) หรือซอสเนื้อเข้มข้น ที่ราดมาบนสเต๊ก ช่วยเพิ่มมิติของรสชาติและเสริมความอร่อยให้กับเนื้อได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้จานนี้เป็นประสบการณ์การรับประทานสเต๊กที่น่าประทับใจ

และจานหลักปิดท้ายคือ AGNELLO เมนูนี้โดดเด่นด้วย Costoletta Di Agnello Grigliata (Grilled Lamb Rack) หรือซี่โครงแกะที่ผ่านการย่างอย่างพิถีพิถัน เนื้อแกะมีความนุ่มละมุนลิ้น และที่สำคัญคือไม่มีกลิ่นสาบของแกะเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักชิมหลายคนให้ความสำคัญและชื่นชอบ
ซี่โครงแกะนี้เสิร์ฟพร้อมกับเครื่องเคียงที่เสริมรสชาติได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น Spinaci Saltati (Sautéed Spinach) หรือผักโขมผัดที่ให้ความสดชื่น Purea Di Sedano Rapa (Celeriac Puree) หรือเพียวเร่เซเลอรี่แรป ซึ่งมีรสชาติเฉพาะตัวและเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม นอกจากนี้ยังมี Patate Arrosto (Roasted Potatoes) หรือมันฝรั่งอบ ที่ได้ความหอมกรุ่นและเนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุน ปิดท้ายด้วย Salsa Di Agnello (Lamb Jus) หรือซอสแกะเข้มข้น ที่ราดมาบนจาน ช่วยเพิ่มมิติของรสชาติและยกระดับความอร่อยของเนื้อแกะได้อย่างสมบูรณ์แบบ
และนี้ก็คือ รีวิว Rossini’s ร้านอาหารอิตาเลียนในโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่ม่พร้อมกับการตกแต่งฟิลบ้านทัศแคน ดีกรี 1 ใน 100 รางวัลชั้นนำของโลก และอีกมากมาย ใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์การทานอาหารอิตาเลียนพรีเมียมแบบนี้ ลองชวนคนรู้ใจแล้วจองผ่าน Hungry Hub ได้เลย บอกได้เลยว่าเริ่มต้นเพียงคนละ 559 บาท เท่านั้น บอกเลยว่าเป็นหนึ่งในร้านที่พลาดไม่ได้เลยละ
สามารถดูโปรโมชั่นและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ – Hungry Hub แอปจองมื้อพิเศษอันดับ 1 ของไทย
อ่านบทความอื่นๆที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่นี่