ค็อกเทล (Cocktail) และ ม็อกเทล (Mocktail) เมนูเครื่องดื่มที่หลาย ๆ คนคงคุ้นชื่ออยู่บ้างเวลาไป Rooftop หรือร้านนั่งชิลต่าง ๆ ซึ่งหน้าตาและชื่อของมันก็ดูคล้ายกันซะเหลือเกิน แต่ว่านอกจากตัวอักษรแรกที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีอะไรที่แตกต่างกันอีกบ้างนะ? Hungry Hub จะพาทุกคนไปไขข้อสงสัยกัน!
ความแตกต่างระหว่าง ค็อกเทล และ ม็อกเทล
ค็อกเทล (Cocktail) คือ
ค็อกเทล (Cocktail) เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ชนิดใดชนิดหนึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้น กับส่วนผสม อื่น ๆ เช่น น้ำผลไม้ ไซรัปรสชาติต่าง ๆ น้ำมะนาว เพื่อเพิ่มสีสันและรสชาติที่หลากหลาย ต่างกันไปตามแต่ละสูตร
ขั้นตอนการทำค็อกเทลรวมถึงการตกแต่งแก้วอย่างสร้างสรรค์เมื่อมาพร้อมกับเครื่องดื่มที่มีสีสัน สวยงามและรสชาติ ที่ดื่มง่ายแถมยังรสชาติดี จึงทำให้ค็อกเทลเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับวันที่อยากจะพักผ่อน แต่ไม่อยากดื่มหนักจนเกินไปนั่นเอง
ประเภทเหล้าที่นิยมนำมาผสมในค็อกเทล
เหล้า นับเป็นส่วนผสมหลักของค็อกเทลเลยก็ว่าได้ รสชาติที่แตกต่างก็จะขึ้นอยู่กับประเภทเหล้าที่ใช้ ซึ่งหลัก ๆ ก็จะมีดังนี้
- บรั่นดี (Brandy) เหล้าที่นิยมดื่มกันมาก เกิดจากการหมักองุ่น รสชาติหอมนุ่มนวล ชวนดื่ม ดีกรีประมาณ 30-50%
- วิสกี้ (Whisky, Whiskey) เป็นเหล้าที่ทำมาจากข้าวต่าง ๆ เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ย์ข้าวโพด ดีกรีประมาณ 35-45%
- วอดก้า (Vodka) เหล้าที่เป็นนิยมมากในปัจจุบัน เป็นเหล้าสีขาวใส รสชาติร้อนแรง มีกลิ่นเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก ดีกรี 40-60%
- ยิน (Gin) เหล้าสีขาวที่มีกลิ่นหอมของผลจูนิเปอร์ มีความลงตัวระหว่างความ ดราย หรือ ไม่หวาน และกลิ่นรสสดชื่นของผลจูนิเปอร์ ดีกรี 35-43%
- ตากีล่า (Tequila) เหล้าสีขาวแต่บางชนิดมีสีเหลืองทองจากการเก็บบ่มในถังไม้ มีกลิ่นและรสชาติร้อนแรง บาดคอ นิยมดื่มกินกับมะนาวและเกลือแต่ในปัจจุบันนิยมนำมาทำ ค็อกเทลมากขึ้น
- รัม (Rum) เหล้าที่กลั่นจากอ้อยหรือกากน้ำตาล รสชาติหอมนุ่ม แต่จะมีความหอมน้อยกว่าเหล้ายิน ดีกรี 30-40%
- ลิเคียว (Liqueur) หรือเหล้าหวาน เป็นการผสมสุราชนิดใดก็ได้กับความหวาน และเพิ่มสี กลิ่น รวมถึงรสลงไปด้วย โดยจะใช้สี กลิ่น รสของผลไม้ สมุนไพร เครื่องเทศมีสีต่าง ๆ มากมาย จะดื่มเพียว ผสมน้ำแข็ง หรือนำไปผสมค็อกเทลให้มีสีสวยงามก็ได้
Classic Cocktail มีอะไรบ้าง ?
สำหรับใครที่เป็นมือใหม่หัดดื่มอาจจะเขิน ๆ เวลาอยากจะสั่งค็อกเทลสักแก้วอยู่บ้าง เพราะฉนั้นเราจึงหยิบเมนูคลาสสิกค็อกเทลนิด ๆ หน่อย ๆ มาให้ได้รู้จักกัน
- Mojito ค็อกเทลที่มีส่วนผสมหลักคือ เหล้ารัม มะนาว เเละใบสะระเเหน่ เป็นเมนูที่รสชาติอร่อย ดื่มเเล้วสดชื่นจึงเป็นที่นิยมของนักดื่มทั่วโลก
- Margarita ค็อกเทลสีใส ที่มีเอกลักษณ์คือการเคลือบปากแก้วด้วย “เกลือ” ส่วนผสมจะมีเหล้า Tequila กับ Triple sec ผสมกับน้ำมะนาวเเละน้ำเชื่อม
- Long Island Ice Tea ค็อกเทลที่มีส่วนผสมของเหล้าหลายชนิด ทั้ง Rum,Tequila,Triple sec เเละ Gin ผสมกับน้ำมะนาวเเละน้ำโคล่า จึงเป็นเมนูที่ค่อนข้างแรงมากกว่าเมนูอื่น ใครคออ่อนค่อย ๆ ดื่มจะดีกว่าน้า
- Blue Kamikaze ค็อกเทลสีฟ้าน่ารักสดใส รสชาติถูกปาก มีส่วนผสมหลักๆ คือ วอดก้า กับเหล้า Blue Curacao เติมน้ำมะนาว ตามด้วยน้ำเชื่อมเเล้วนำไปปั่นจนเป็น Frozen รสชาติหวานดื่มง่าย
- Pink Lady ค็อกเทลสำหรับสาวๆ รสชาติหวาน เปรี้ยว กลมกล่อม ใช้เหล้า Triple sec เเละ Gin ผสมกับน้ำมะนาวเเละน้ำเชื่อม
- Dry Martini ค็อกเทลที่ใช้เหล้าสองตัวคือ Gin เเละ Dry Vermouth เป็นส่วนผสม เเละมีการใช้มะกอกดองมาเป็นเครื่องเคียง เพื่อช่วยตัดรสขมของ Gin ทำให้รสชาติดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ
- Mai Tai ไมตาอี หรือ ไหมไทย ค็อกเทลที่มีรสชาติโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าใครที่ได้ลิ้มลอง ก็มักจะติดใจ โดยมีส่วนผสมหลักคือเหล้ารัม คูราโซ่ น้ำสับปะรด น้ำมะนาว และน้ำเชื่อม
ม็อกเทล (Mocktail) คือ
คำว่า MOCK ในภาษาอังกฤษนั้นมีความหมายว่า “เลียนแบบ” คำว่า Mocktail ที่ดูคล้ายกับคำว่า Cocktail จึงหมายถึงเครื่องดื่มที่ลอกเลียนแบบค็อกเทลทั้งหน้าตา วิธีการทำ หรือส่วนผสมที่มี ความคล้ายคลึงกัน จึงไม่แปลกที่หลาย ๆ คน จะแยกระหว่าง ค็อกเทล กับ ม็อกเทล ไม่ออกเพราะ มีความเหมือนกันมากจริง ๆ อย่างกับแฝดคนละฝาก็ว่าได้
แต่ความแตกต่างของม็อกเทลที่จะทำให้แยกออกได้นั่นก็คือเครื่องดื่มนี้ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือ Non-Alcohol รสชาติจะเน้นไปที่ผลไม้ที่นำมาเป็นส่วนผสม ดื่มง่าย อร่อยไม่ต่างจากค็อกเทล สามารถเป็นเครื่องดื่มสำหรับงานปาร์ตี้หรือดื่มผ่อนคลายอารมณ์ ได้เหมือนกันแถมยังมีคุณค่าทางโภชนาการสายเฮลตี้สามารถดื่มได้ หายห่วง
How To ผสมม็อกเทล
เนื่องจากม็อกเทลไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ รสชาติจึงเน้นไปที่ผลไม้หรือน้ำหวาน ที่นำมาจับคู่กัน สามารถเลือกตามใจชอบได้เลยไม่ว่าจะน้ำมะนาว โซดา ไซรัปรสต่าง ๆ ผลไม้ เพิ่มรสชาติด้วยสมุนไพรอย่างใบสาระแหน่ หรือเปลือกส้ม ให้ฟีลคล้ายกับค็อกเทลได้ด้วย โดยสามารถนำ สูตรม็อกเทล มาผสมตามวิธีด้านล่างนี้ได้เลย
1. Shake&Strain วิธีการเขย่าและกรองด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า กระบอกเช็ค (Shaker) โดยรินส่วนผสมลงในกระบอก ตักน้ำแข็งก้อนใส่ตามลงไป 4-5 ก้อน แล้วเขย่าด้วยความเร็วและแรง จนเกิดฝ้าขาวขุ่นขึ้นที่กระบอกแปลว่าใช้ได้ จากนั้นเทส่วนผสมทั้งหมดพร้อมน้ำแข็งลงในแก้ว แต่ถ้าเป็นสูตรที่เอาแต่น้ำก็สามารถกรองเฉพาะน้ำใส่แก้วได้
ข้อห้ามของวิธีเขย่า ห้ามเทส่วนผสมที่มีแก๊ส เช่น โซดา น้ำอัดลม ลงในกระบอกเช็ค เพราะจะเกิดแรงดันทำให้ฝากระเด็นหลุดออกมาได้ ควรจะนำส่วนผสมเหล่านั้นเติมใส่ทีหลัง
2. Stir วิธีการคนผสม จะนิยมคนผสมในแก้ว โดยใส่น้ำแข็ง 3/4 ของแก้ว แล้วเทส่วนผสม ลงในแก้ว ใช้ช้อนบาร์คนแบบกระทุ้งด้วยความเร็ว ประมาณ 6-7 รอบก็เรียบร้อย เป็นวิธีที่เหมาะกับส่วนผสมที่เข้ากันได้ง่าย
3. Build&Pour วิธีการรินหรือเท เทรินส่วนผสมทั้งหมดลงในแก้วที่มีน้ำแข็งรออยู่ โดยไม่ต้องคน ใส่หลอด แล้วยกเสิร์ฟได้เลย สำหรับเน้นสีสันของเครื่องดื่ม
4. Blend วิธีการปั่น นำส่วนผสมทั้งหมดลงเครื่องปั่น (Blender) แล้วปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน เหมาะสำหรับส่วนผสมที่เข้ากันได้ยาก เป็นเครื่องดื่มที่ให้ความเย็น ดื่มง่าย และรสชาติของเนื้อผลไม้
เท่านี้ทุกคนก็แยกความแตกต่างระหว่าง ค็อกเทล กับ ม็อกเทล ได้แล้ว แถมยังได้รู้จักเมนูค็อกเทล รวมถึงวิธีทำม็อกเทล จะไปดื่มที่ไหนก็ไม่มีงง สามารถเลือกดื่มได้ตามใจชอบ เพราะความหลากหลายของเครื่องดื่มเหล่านี้ก็นับเป็นความสนุก ความเพลิดเพลินเสมือนศิลปะอย่างนึงเช่นกัน Rooftop ดี ๆ กับบรรยากาศโดน ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่ง ที่จะสร้างวันดี ๆ ให้กับคุณ และถ้าอยากหาสถานที่ดี ๆ ไว้นั่งดื่มล่ะก็ให้ Hungry Hub ช่วยแนะนำดีกว่า ส่วนใครที่อ่านจบแล้วชอบ ค็อกเทล หรือ ม็อกเทล เมนูไหนก็มาคอมเมนท์แชร์กันได้เลยน้า
สามารถติดตามโปรโมชั่น ที่ไม่ควรพลาดได้ที่ Facebook : Hungry Hub แอปจองมื้อพิเศษอันดับ 1 ของไทย