ใครที่อยากจะไปสัมผัสกับรสชาติสไตล์ยุโรป ที่ผสมผสานกับความเป็นเอเชียนอย่างลงตัว วันนี้เราจะขอพาไปรู้จักกับ Mia Bangkok หรือ มีอา ร้านอาหารในบ้านสีฟ้าอนแสนอบอุ่น ที่คว้ารางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว จาก 2 เชฟดูโอ้คู่รัก เชฟท็อปและเชฟมิเชล โก พร้อมเมนูอาหารที่เล่าผ่านเรื่องราวต่างๆ ที่จะทำให้ทุกคนต้องตกหลุมรักอย่างแน่นอน
มาทำความรู้จักกับ Mia Bangkok
MIA Restaurant Bangkok เป็นร้านอาหารสไตล์โมเดิร์น-ยูโรเปียน ในบ้านหลังสีฟ้า 2 ชั้นสุดคลาสสิกใจกลางสุขุมวิท 26 ที่เกิดขึ้นจากจับมือของ 2 คู่หูดูโอ้เชฟ คู่รักอย่าง เชฟท็อป-พงศ์ชาญ รัสเซล (Pongcharn Russell) เชฟลูกครึ่งไทย-อังกฤษ และ เชฟมิเชล โก (Michelle Goh) เชฟขนมหวานจากมาเลเซีย ที่ฝ่าฟันอุปสรรค์ต่างๆ กับทีมงานมาอย่างยาวนานจนได้คว้ารางวัลต่างๆมากมาย ทั้ง มิชลิน เพลท ในปี 2564 และล่าสุดก็คว้า มิชลินสตาร์ 1 ดาว จาก มิชลินไกด์ 2567 มาครอบครองได้สำเร็จ
ภายใน Mia Bangkok จะมีห้องอาหารที่จะแบ่งออกเป็น 4 โซนหลักๆด้วยกัน ซึ่งก็จะมีเอกลักษณ์และจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป อย่างห้องแรกที่เราจะพาไปมีชื่อว่า Dark Room เป็นห้องแห่งความลึกลับที่จะมีแสงไฟสลัวๆ ส่องมาตรงกลางของโต๊ะ พร้อมกับวอล์เปเปอร์ พรม เก้าอี้เบาะสีเทาน้ำเงินเข้ม ซึ่งจะเหมาะสำหรับการมานั่งทานดินเนอร์กับคนรู้ใจ
สาวๆ ที่ชื่นชอบดอกไม้และธรรมชาติ Floral Room เป็นห้องที่เมื่อเข้ามาแล้วจะต้องถูกใจอย่างแน่นอน ด้วยการตกแต่งของดอกไม้ ต้นไม้เติมความสดชื่น พร้อมเก้าอี้เบาะสีชมพู อีกทั้งยังมีกระจกที่แสงจะส่องเข้ามาพอดี เหมาะสำหรับมานั้งทานอาหารและหามุมถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้เป็นอย่างดี
ถ้าชื่นชอบสีสัน Color Room ก็เป็นอีกหนึ่งห้องที่มีภายในร้าน ด้วยการแบ่งโซนที่ให้ความรู้สึกแบบกึ่งส่วนตัว เพราะจะมีตัวกั้นมาให้ในแต่ละโต๊ะ มีเก้าอี้หรือเบานั่งที่กำจากผ้ามะหยี่สีเขียว พร้อมกับพรมและวอลล์เปเปอร์ดอกไม้แบบคลาสสิก ที่ให้ความรู้สึกย้อนยุค แต่ยังคงความเรียบหรูอยู่
แต่ถ้าเกิดอยากได้ความเป็นส่วนตัวจริงๆ ข้างห้อง Color Room ก็ยังมีห้องลับอย่าง PDR หรือ Private Dining Room ที่เหมาะการมาทานแบบครอบครัวกลุ่มใหญ่ มาทานข้าวกับทีมบริษัท โดยการตกแต่งภายในนั้นจะประกอบไปด้วยโคมไฟ พรม โต๊ะขนาดใหญ่ เบาะนั่งกว่า 10 ที่นั่ง
ในส่วนของเมนูอาหารของทางร้านนั้น ก็จะเป็นแนวยูโรเปียนที่ผสมผสานรสชาติแบบสไตล์เอเชียเข้าไปด้วย ซึ่งวัตถุดิบที่ถูกนำมาเลือกใช้นั้นก็เป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุด ที่คัดสรรภายในประเทศไทย นำมาผสมผสานกับเมนูในรูปแบบสไตล์ยุโรป โดยเสิร์ฟในรูปแบบคอร์สไฟน์ ไดนิ่ง ซึ่งก็มีให้เลือกทั้ง Taste of Mia (8 คอร์ส) ราคาพิเศษ 7,500 บาท จากปกติ 7,886 บาท หรือ Vegetarian Taste of Mia (8 คอร์สสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติ) ราคาพิเศษ 6,700 บาท จากปกติ 6,944 บาท และ Lunch Set (คอร์สสำหรับมื้อกลางวัน) ที่เปิดให้จองสำหรับเสาร์-อาทิตย์ ราคาพิเศษ 3,900 บาท จากปกติ 4,425 บาท ที่สามารถจองได่ผ่าน Hungry Hub
ในครั้งนี้เราจะมาลอง คอร์ส Taste of Mia ที่จะมาเริ่มต้นกันด้วย Ostra Regal Oyster | Bloody Marry | Tomato Water – เป็นเมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก ค็อกเทลที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีอย่าง “บลัดดี้แมรี่” ซึ่งเป็นค็อกเทลที่เชฟท็อปชื่นชอบเป็นอย่างมาก โดยก็ได้นำไปปรุงคู่กับหอยนางรมสายพันธุ์ชั้นเลิศอย่าง ออสตร้ารีกัล จากไอซ์แลนด์ที่เติบโตในฝรั่งเศส เสิร์ฟพร้อมเจลลี่น้ำมะเขือเทศ บลัดดี้แมรี่เจล และน้ำมันแตงกวา
ถ้าพูดถึงในส่วนของ Snack จะเป็นเมนูอาหารที่สามารถทานได้ในคำเดียว โดยสำหรับในคอร์ส Taste of Mia ก็จะเสิร์ฟหลังจาก Ostra Regal Oyster 4 อย่างด้วยกัน โดยในบางครั้งก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเมนู แต่สำหรับในวันที่ทาง Hungry Hub ได้ไปลองก็จะมีทั้ง
- Red Prawn Tartare | Siamese Pomelo | Cocktail Sauce
- Taramosalata Tart | Smoked Salmon | Tobiko
- Chicken Liver Parfait Cigar | Quince | Cocoa Nibs
- Spiced Pork Jowl Taco | Apple Compote
Sourdough Brioche | Shallot Butter | Onion Ash – บริยอชแห่งความรัก ที่มีจุดเริ่มต้นจากความรักระหว่างเชฟท็อปและเชฟมิเชล โก ที่พบเจอครั้งแรกในห้องแต่งตัวแบบบังเอิญ และพัฒนาความสัมพันธ์จากการที่เชฟมิเชลชวน ท็อป มาดมกลิ่นยีสต์เริ่มต้นที่เธอทำ ซึ่งยีสต์ตัวนี้เองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวความรักของพวกเขา เพราะเชฟหญิงยังคงใช้ยีสต์ตัวเดิมในการทำขนมปังมาโดยตลอด และขนมปังชนิดนี้ก็กลายเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของมีอา มาโดยตลอด
Ajo Branco หรือ อโจบลังโก้ เป็นเมนูซุปที่ได้ทำในสายอาชีพของการเป็นเชฟครั้งแรกในชีวิต ซึ่งอโจบลังโก้นั้นจะเป็นซุปสเปนที่เสิร์ฟในแบบซุปเย็น จะแตกต่างจากซุปทั่วไปในเมืองไทยที่จะเสิร์ฟแบบร้อนๆ โดยตัวซุปจะมีถั่วแมคคาเดเมีย แคชชูนัท น้ำส้มสัปปะรด ปูม้าจากอันดามันที่นำไปโฟลวกับซาวครีม ท็อปด้วยองุ่นสไลด์บางๆ ให้เข้ากับรสชาติของซุป
Hokkaido Scallop | Bluefin Tuna | Truffle Ponzu | N25 Caviar – เป็นเมนูโปรดของทางเชฟ ที่รวมวัตถุดิบส่งตรงจากทะเล และวัตถุดิบจากฝั่งพื้นดิน ไม่ว่าจะเป็นหอยเชลล์ฮอกไกโด ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน คาเวียร์ N25 ทรัฟเฟิลพอนสึ และ โคห์ลราบี กระหล่ำปลีเยอรมันที่นำไปดองกับเหล้าข้าว ซึ่งจะให้ความรู้สึกเหมือนได้ดื่มด่ำกับรสชาติแห่งท้องทะเล และ แผ่นดินอย่างแท้จริง
Smoked Eel Chawanmushi | Bone Marrow | Ikura – ซุปชาวันมูชิ เป็นซุปสไตล์ญี่ปุ่นที่ได้มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับฤดูกาล โดยก็ได้มีการเลือกใช้ อิคุระ ไขกระดูก และปลาไหลรมควันเพื่อเสริมเนื้อสัมผัสและรสชาติของซุปให้มีรสชาติที่กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
Local corn fed baby chicken | Textures of corn | Albufera sauce – เป็นเมนูที่เลือกใช้ Baby Chicken ที่ทาด้วยซอสแบบ Traditional White Sausage ที่ทำจากเนื้อหมู พาเมซานซีส ทรัฟเฟิล ใต้ผิวหนัง แล้วก็ด้านข้างจะมีการวางซัลซ่าข้าวโพดที่นำไปย่าง แยมลูกพรุน วอเตอร์เครสผักสลัดน้ำ และราดด้วยซอส Albufera Sauce ซึงเป็นซอสแนวฝรั่งเศส
ปิดท้ายกันด้วยเมนูเอาใจสายของหวานกันบ้างกับ Mia’s Cereal Bowl ซึ่งจะยกระดับของซีเรียลให้หรูหราถถึงขีดสุด ซึ่งเมนูนี้จะเสิร์ฟด้วยครีม Milo เนียนนุ่มที่ด้านล่าง ผสมกับซีเรียลโฮมเมดช็อกโกแล็ตและป็อบคอร์นกรุบกรอบ ตามมาด้วยไอศกรีมข้าวโพด และคอนเฟลกมิลค์ จึงกลายเป็นคอมโบแสนหวานที่ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมถึงกลายเป็นเมนูยอดฮิต
และต้องนี้ก็ต้องบอกเลยว่า Hungry Hub ก็ได้ร่วมมือกับ Mia Bangkok ที่จะมาพร้อมกับแพ็กเกจคอร์ส Fine Dining สำหรับคู่รักอย่าง Romantic Package ที่จะได้เพิ่ม Complementry สุดพิเศษมากมายไม่ว่าจะเป็นสปาร์คกลิ้งโรเซ่ 1 ขวด ซึ่งก็จะเป็นสปาร์คกลิ้งไวน์ของ Frederic Lornet หนึ่งในไวน์ชั้นเลิศที่ส่งตรงจากฝรั่งเศส พร้อมเค้ก 3 เลเยอร์ซิกเนเจอร์ของเชฟมิเชล ที่ได้มีการตกแต่งดาวมิชลิน 1 ดาว โดนข้อความในจานสามารถเลือกคำที่จะเขียนได้ กล่องบอนบอนช็อกโกแล็ต และช่อดอกกุหลาบสุดพรีเมียม
และในส่วนของแพ็กเกจอื่นๆ นั้นก็จะได้เป็น Cacao Juice Elderflower & Banana Welcome Drink ของโปรดของเชฟท็อป น้ำผลไม้ของผลโกโก้ ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่จะมีความหอมของโก้โก้และกล้วย พร้อมกับกล่องบอนบอน ช็อกโกแล็ตอีกด้วยเช่นเดียวกัน
และนี้ก็คือ Mia Bangkok ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่ง แนวยุโรปและยูโรเปียน ในบ้านสีฟ้าสุดคลาสสิก ใครที่อยากพาคนรู้ใจไปสัมผัสประสบการณ์มื้อสุดพิเศษ ระดับมิชลินสตาร์ 1 ดาวแบบนี้ ก็สามารถจองได้ผ่าน Hungry Hub พร้อมกับโปรโมชั่นและแพ็กเกจสุดพิเศษ เริ่มต้นเพียงคอร์สละ 3,990 บาทเท่านั้น
สามารถติดตามโปรโมชั่น ที่ไม่ควรพลาดได้ที่ Facebook : Hungry Hub แอปจองมื้อพิเศษอันดับ 1 ของไทย
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่