หลังจากเจอปัญหาค่าใช้จ่ายเกินกว่างบที่ตั้งไว้ทุกครั้ง เวลาพาทีมงานไปทานอาหารข้างนอก CEO เกิดไอเดียใหม่ นั้นก็คือจุดเริ่มต้นของ โครงสร้างธุรกิจ จากการจองร้านอาหารเพียงอย่างเดียว ให้มีรูปแบบ All you can eat เพิ่มเข้ามา ซึ่งเป็นการทานอาหารแบบไม่อั้น ในราคาที่สามารถควบคุมงบได้

ลูกค้าในบางกลุ่ม อาจชื่นชอบการทานอาหารแบบสั่งไม่กี่จานแล้วมาแชร์กับเพื่อนหรือครอบครัว และเน้นพูดคุย สัมผัสบรรยากาศไปด้วย จึงทำให้เปิดตัว Party Pack ที่สามารถสั่งอาหารแบบเป็นเซ็ต และจ่ายในราคาที่เห็นจริง โดยไม่มีการบวกเพิ่ม

ในยุคเกิดสถานการณ์โควิด 19 ทำให้ไม่สามารถออกไปท่องเที่ยวที่ต่างประเทศได้ ในประเทศไทยในช่วงปี 2020 กระแส Staycation กลายเป็นกระแสยอดฮิต และทำให้ Hungry Hub เปิดตัวแพ็กเกจนี้ขึ้นมา นอกจากจะได้แพ็กเกจห้องพักจากโรงแรมชั้นนำ ยังได้สิทธิพิเศษต่างๆอีกมากมาย ทั้งอาหาร สปา หรือกิจกรรมผ่อนคลาย ในราคาที่คุ้มค่า 

ความเติบโต ความสำเร็จ ที่เกิดขึ้นจากพาร์ทเนอร์และลูกค้าในกรุงเทพ ทำให้ Hungry Hub ได้เริ่มมีการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ในฝั่งของต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพัทยา ภูเก็ต หัวหิน เชียงใหม่ และเขาใหญ่

ก้าวสู่ความหรูหราไปอีกหนึ่งระดับ กับการเข้าสู่การขยายตลาดไปสู่ผู้บริโภคที่ชื่นชอบในความหรูหรา หรือ อยากสัมผัสกับประสบการณ์สุดพิเศษ ด้วยการรวบรวมร้านอาหารแนวไฟน์ไดนิ่ง และ โอมากาเสะ 

เพื่อเป็นการตอบโจทย์ ลูกค้าที่ชื่นชอบร้านอาหารพรีเมียม หรูหรา ยังได้รวบรวมร้านอาหารมิชลินสตาร์ มิชลินไกด์ชั้นนำ ทั่วประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น Signature, Khao Ekkamai, Khaan Bangkok, Haoma Bangkok, Chim by Siam Wisdom และอีกมากมายที่จะเข้ามาในอนาคต